แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ไม่ปรากฎว่าโจทก์เคยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่พิพาท ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่ามีพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ไม่มีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 การที่ศาลล่างยกขึ้นวินิจฉัยเองว่า โจทก์เปลี่ยนลักษณะการยึดถือที่ดินพิพาทโดยการแย่งการครอบครองจากจำเลยจึงไม่ชอบเป็นการนอกเหนือประเด็นตามคำฟ้องและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเอาเป็นของโจทก์ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอหาดใหญ่จัดการแก้ทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินทั้ง 15 ฉบับ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ โจทก์โอนขายที่ดินตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้แก่จำเลยเพื่อตีใช้หนี้เงินกู้ที่โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยบางส่วน คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะที่ดินตามฟ้อง เป็นที่ดินมีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก. และโจทก์ได้ทราบถึงการทำนิติกรรมจดทะเบียนขายและสละสิทธิครอบครองให้จำเลยแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2526โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 1 ปี ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์และบริวารออกจากบ้านเลขที่ 2/4 กับใช่ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 3,000บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกจากบ้านดังกล่าว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องว่า โจทก์ไม่เคยมอบอำนาจโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2/4 แก่จำเลยเพื่อการตีใช้หนี้โจทก์ไม่มีหนี้ผูกพันกับจำเลยและโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและมิเคยสละการครอบครองแต่อย่างใด ฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความ 1 ปี และบ้านพิพาทนั้นก็ให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ1,000 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. พร้อมโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ให้จำเลยจดทะเบียนแก้ไขใส่ชื่อของโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. ดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนแสดงเจตนาของจำเลย ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยฟ้องแย้งขับไล่โจทก์เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยเป็นการฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองพ้นกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง หรือไม่ปัญหาข้อนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้ว จำเลยฟ้องแย้งขับไล่โจทก์เกินกว่า 1 ปีจึงไม่อาจฟ้องแย้งเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบให้จำเลยไปเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ในที่ดินของโจทก์เป็น น.ส.3 ก. และแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อย จำเลยไปดำเนินการและปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เมื่อแบ่งแยกแล้วได้โอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของโจทก์คงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องและถือสิทธิครอบครองขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และเปลี่ยนใน น.ส.3 ก.เป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์โอนขายที่ดินพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้จำเลยพร้อมกับฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย ไม่มีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทชำระหนี้เงินกู้ที่โจทก์ยืมจากจำเลยและโจทก์คงอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตลอดมา การอยู่อาศัยของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลย ตามคำฟ้องโจทก์ก็ดี คำให้การแก้ฟ้องแย้งก็ดีไม่ปรากฎว่า โจทก์เคยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือยิ่งกว่านั้นการที่โจทก์ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จะต้องบอกกล่าวไปยังจำเลยโดยชัดแจ้ง แต่หาปรากฎข้อเท็จจริงเช่นว่านี้ไม่ ดังนั้นคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ การที่ศาลล่างทั้งสองยกขึ้นวินิจฉัยเองว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือที่ดินพิพาทโดยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการนอกเหนือประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของจำเลย การที่โจทก์อยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการละเมิด
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์กับบริวารออกจากบ้านเลขที่ 2/4 และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 10 พฤศจิกายน 2530) เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกจากบ้านพิพาท