คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไป ไม่มีสิทธิในทางภาระจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามโจทก์ โอนขาย จำหน่ายที่ดิน หากมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อน การสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียจึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อมาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งได้จดทะเบียนเป็นภารยทรัพย์เกี่ยวกับทางเดินให้แก่ที่ดินโฉนดอื่นซึ่งเดิมเป็นของจำเลย ที่ดินทั้งสองแปลงนี้โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันเกี่ยวกับทางภาระจำยอม โดยจำเลยได้ฟ้องกล่าวหาว่า โจทก์ละเมิด รุกล้ำทางภาระจำยอม ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมหลังจากนั้นโจทก์แบ่งแยกที่ดินของโจทก์ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับทางภาระจำยอมออกเป็นหลายโฉนด และก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินที่แบ่งแยกเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป ส่วนที่ดินที่อยู่ในเขตภาระจำยอมคงครอบภารจำยอมไว้ดังเดิม จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลในคดีที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าโจทก์ปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมและกำลังจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก ศาลไต่สวนแล้วหลงเชื่อจึงมีคำสั่งห้ามโจทก์โอนขาย หรือจำหน่าย คำร้องของจำเลยไม่เป็นความจริง ทั้งจำเลยได้โอนที่ดินของตนให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว ไม่มีสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับทางภาระจำยอมอีก เป็นการจงใจกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น ๒๗๙,๘๙๙.๘๓ บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวกับค่าเสียหายอีกเดือนละ ๒๙,๘๔๙ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งห้ามการโอนที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ก่อสร้างตึกแถวทับทางภาระจำยอม ทั้งยังพยายามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้เกิดความยุ่งยากแก่การบังคับคดี จำเลยจึงต้องขอให้ศาลสั่งห้าม เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่ผิดกฎหมายและไม่เป็นละเมิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้อง การกระทำของจำเลยฟังไม่ได้ว่าเป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานเป็นการชอบหรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามโจทก์ทำการโอนที่ดินแล้วนำพยานหลักฐานเข้าสืบในการไต่สวนคำร้องนั้น เป็นการใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไป ไม่มีสิทธิในทางภาระจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้หากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้ การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อน ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำสั่งที่ห้ามโจทก์โอน ขาย จำหน่ายที่ดินเป็นการสั่งไปตามดุลพินิจของศาล มิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องนั้นเห็นว่า หากศาลมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย จึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา เป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๕ โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งศาล แต่มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกานั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้อง การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา ๒๒๗ แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นและฎีกาต่อมาได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share