คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่งจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกโดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางเงินมัดจำ ม. กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ ม. เล่นการพนันกับพวกของ ม. โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสียการติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนันจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม. กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วมและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม. กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วมกับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลยแสดงว่า จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ ม. หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้เพราะจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเงินจำนวนที่จำเลยเป็นผู้เบิก ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2540 เวลากลางวัน จำเลยรับของโจรโดยช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย และรับไว้โดยประการใดซึ่งเงินสด 550,000 บาท ของนายวิศิษฐ์ ไกรปราบ ผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายฉ้อโกงไป โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายวิศิษฐ์ ไกรปราบ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง วางโทษจำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 11เมษายน 2540 โจทก์ร่วมและนางจำนงค์ เพิ่มทรัพย์ ได้โอนเงิน 550,000บาทให้แก่จำเลยโดยผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหัวหมากและจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากธนาคารไปในวันนั้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายเม้งกับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกโดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วมและเมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้านนายเม้งเพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางเงินมัดจำ นายเม้งกับพวกกลับให้นายวันชัยสาธิตวิธีเล่นการพนันเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเล่นการพนันอย่างไรจึงจะไม่เสียเงินแล้วชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับนายเม้งเล่นการพนันกับพวกของนายเม้ง เมื่อโจทก์ร่วมเล่นการพนันเสีย นายเม้งยังหลอกลวงให้โจทก์ร่วมส่งเงินมาให้นายเม้งอีก การติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนันจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่นายเม้งกับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วม ด้วยการวางแผนกระทำเป็นขั้น ๆ เพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้นายเม้งกับพวกได้ไปซึ่งเงิน 1,000,000 บาท จากโจทก์ร่วมกับเงินที่โจทก์ร่วมให้นางจำนงค์โอนมาให้แก่จำเลยอีก 550,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,550,000 บาท การกระทำของนายเม้งกับพวกย่อมครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง แต่การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบหาเป็นความผิดฐานรับของโจรไม่ เพราะความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว แต่คดีนี้นายเม้งให้โจทก์ร่วมโอนเงินมาให้แก่จำเลยแสดงว่าจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของนายเม้ง หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลังนายเม้งได้เงินมาแล้วไม่ อย่างไรก็ตามแม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร แต่การที่นายเม้งบอกให้โจทก์ร่วมโอนเงินมาให้แก่จำเลยเพื่อนายเม้งจะนำไปไถ่ถอนจำนองที่ดินแล้ว จำนองใหม่จะได้เงิน100,000,000 บาท มาเล่นการพนันกับเสี่ยได้อีก โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงให้นางจำนงค์โอนเงินไปให้จำเลยตามคำบอกกล่าวของนายเม้งและจำเลยไปรับเงินจำนวนดังกล่าวที่ธนาคารในวันนั้น พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นร่วมกระทำความผิดกับนายเม้งกับพวกที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยไปรับเงินจากธนาคารเพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจำเลยไม่รู้จักมาขอให้จำเลยช่วยรับเงินให้โดยจะให้ค่าตอบแทน 500 บาท เพราะผู้หญิงดังกล่าวไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนไม่สามารถเบิกเงินได้นั้น เห็นว่า ตามสำเนาคำขอโอนเงินและใบเสร็จรับเงินระบุชื่อจำเลยผู้รับเงินบุคคลอื่นจึงไม่อาจรับเงินได้หากจำเลยไม่รู้จักนายเม้งกับพวกเป็นอย่างดีก็ไม่อยู่ในวิสัยที่นายเม้งจะให้โจทก์ร่วมโอนเงินมาให้แก่จำเลย ข้อนำสืบของจำเลยไม่สมเหตุสมผลและไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา357 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสารสำคัญและไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้เพราะจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเงินจำนวนที่จำเลยเป็นผู้เบิกศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share