คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การเช่าทรัพย์สินนั้นปกติฝ่ายผู้ให้เช่าย่อมเพ่งเล็งถึงคุณสมบัติของผู้เช่าว่าจะสมควรได้รับความไว้วางใจในการใช้ทรัพย์สินที่เช่าและในการดูแลทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่ฉะนั้นสิทธิของผู้เช่าจึงมีสภาพเป็นการเฉพาะตัวเมื่อผู้เช่าตายสัญญาเช่าเป็นอันระงับไปไม่ตกทอดไปถึงทายาทที่สัญญาเช่าข้อ4ระบุว่าในระหว่างสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาผู้เข่ามีสิทธิที่จะโอนการเช่าให้แก่ผู้อื่นได้แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินให้แก่ผู้ให้เช่านั้นเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนการเช่าในระหว่างที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่ายังมีชีวิตอยู่ซึ่งอาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา544และเป็นเพียงบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะคู่สัญญาหาได้ตกทอดมายังจำเลยแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74580 และตึกแถวเลขที่ 11/134-136 โดยซื้อมาจากนางสาวศิริกุล จิตรชื่น เดิมนางสาวศิริกุลได้ให้นายหลิวกาหยุงเซี่ยงหลิว เช่าอยู่ ต่อมานายหลิวกาหยุงถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้สัญญาเช่าระงับ จำเลยซึ่งเป็นบุตรของนายหลิวกาหยุงและเป็นบริวารจึงไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองในอัตราเดือนละ 24,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกพิพาท และส่งมอบตึกแถวพิพาทคืนโจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าระหว่างนายหลิวหาหยุงกับนางสาวศิริกุลเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เนื่องจากนายหลิวกาหยุงได้จ่ายเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทดังกล่าวให้แก่นางสาวศิริกุล สิทธิการเช่าจึงเป็นทรัพย์มรดกของนายหลิวกาหยุง โจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ 300 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยขนย้ายยกทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 11/134-136 ถนนเอกชัย แขวงบางขุนเทียนเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร และส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์ทั้งสองให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองในอัตราเดือนละ 6,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวดังกล่าวและส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์ทั้งสองเสร็จขึ้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 4 ระบุว่า ในระหว่างสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดอายุสัญญา ผู้เช่ามีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิการเช่าให้แก่ผู้อื่นได้ แต่จะต้องชำระเงินให้แก่ผู้ให้เช่าเป็นค่าตอบแทนจำนวน 2,000 บาท ซึ่งเป็นการให้สิทธิแก่ผู้เช่าที่จะโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้ใดก็ได้ แต่ต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้เช่าเป็นเงินจำนวนหนึ่ง สิทธิการเช่าของนายหลิวกาหยุง จึงเป็นทรัพย์สิทธิเมื่อนายหลิวกาหยุงผู้เช่าตาย สิทธิการเช่าซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิก็ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยผู้เป็นทายาท สัญญาเช่าดังกล่าวหาได้เป็นบุคคลสิทธิดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การเช่าทรัพย์สินนั้นปกติฝ่ายผู้ให้เช่าย่อมเพ่งเล็งถึงคุณสมบัติผู้เช่าว่าจะสมควรได้รับความไว้วางใจในการใช้ทรัพย์สินที่เช่าและในการดูแลทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่ฉะนั้น สิทธิของผู้เช่าจึงมีสภาพเป็นการเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตายสัญญาเช่าเป็นอันระงับไปไม่ตกทอดไปถึงทายาท ที่สัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 4 ระบุว่าในระหว่างสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดอายุสัญญา ผู้เช่ามีสิทธิที่จะโอนการเช่าให้แก่ผู้อื่นได้แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้เช่าเป็นเงินจำนวน 2,000 บาทนั้น เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนการเช่าในระหว่างที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่ายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 544 และเป็นเพียงบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะคู่สัญญาหาได้ตกทอดมายังจำเลยแต่อย่างใดไม่ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share