แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายตามพระราชบัญญัติกักกันฯ มาตรา 6 นั้นเพียงแต่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษกักกันมาแล้วเท่านั้น ไม่จำต้องพ้นโทษกักกันไปแล้ว มากระทำผิดขึ้นอีก เช่นที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 72 ไม่และเมื่อเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายแล้ว ตามมาตรา 9 แห่ง พระราชบัญญัติกักกันฯลฯก็ได้บัญญัติไว้ตายตัวให้ศาลลงโทษกักกันศาลจะใช้ดุลพินิจงดลงโทษกักกันเสียไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ และขอให้ส่งตัวไปกักกัน ฐานจำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
จำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 288 จำคุก 8 เดือนลดตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 เดือน ส่วนโทษกักกันเห็นว่าจำเลยต้องรับโทษกักกันในคดีก่อนมากอยู่แล้ว จึงให้งดการลงโทษกักกันในคดีนี้เสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้วางโทษกักกันแก่จำเลยอีกมีกำหนด3 ปี นอกจากนั้นพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยโต้แย้งว่าจำเลยยังไม่พ้นโทษกักกันในคดีก่อน ก็มากระทำผิดครั้งนี้ขึ้น จะลงโทษฐานกักกันอีกไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัติกักกันฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้เพียงว่า “ฯลฯ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้นเคยถูกส่งตัวไปอยู่ต่างหัวเมืองตามพระราชบัญญัติคนจรจัด ฯลฯ หรือเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษกักกันมาแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นมีสันดานเป็นผู้ร้าย” หาได้บัญญัติไว้ว่าได้พ้นโทษกักกันไปแล้ว มากระทำผิดขึ้นอีก เช่นที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 72 ไม่ และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติกักกัน ฯลฯ ก็บังคับไว้เด็ดขาดว่า นอกจากโทษที่ต้องรับฐานกระทำความผิดอันเป็นเหตุร้ายแล้ว ให้เพิ่มโทษกักกันอีกโสดหนึ่งศาลไม่มีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจในความผิดที่ต้องด้วยมาตรา 9 ได้จึงพิพากษายืน