คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3680/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริตที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 จะต้องเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นและส่วนที่รุกล้ำนั้นจะต้องเป็นส่วนน้อย ส่วนที่อยู่ในที่ดินที่ตนมีสิทธิสร้างต้องเป็นส่วนใหญ่ มิฉะนั้นจะเรียกว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำไม่ได้ ตามฟ้องอ้างว่าโจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนของผู้อื่นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 และบรรยายฟ้องต่อไปว่าโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำนั้นเนื้อที่ประมาณ 12 ตารางวา ประมาณครึ่งหนึ่งของโรงเรือนแสดงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำ ทั้งส่วนที่รุกล้ำนั้นมิใช่ส่วนน้อยอันจะเรียกว่ารุกล้ำตามมาตรา 1312 ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้สร้างโรงเรือนของบุคคลอื่นโดยสุจริตลงบนที่ดินของนายจ่าง ขำศรี โดยสิทธิการเช่าจากนายจ่าง ขำศรี แต่บางส่วนของโรงเรือนนี้เนื้อที่ประมาณ 12 ตารางวาประมาณครึ่งหนึ่งของโรงเรือนได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยผู้มีหน้าที่ปกครองดูแลที่ราชพัสดุ โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิการเช่าหรือภารจำยอมในส่วนที่โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยมีกำหนด 30 ปี

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของโรงเรือนที่ปลูกสร้างลงในที่ดินของนายจ่าง ขำศรี ทั้งโจทก์มิได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ และการก่อสร้างโจทก์ก็ทำการโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

กระทรวงการคลังร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ให้การและฟ้องแย้งว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุตามฟ้อง จำเลยเป็นเพียงผู้รับมอบหมายให้ดูแลบำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ โจทก์ได้ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของนางลำยงค์ ขำศรี รุกล้ำเข้าไปในที่ราชพัสดุของผู้ร้องสอดเนื้อที่15 ตารางวาโดยไม่สุจริตและไม่มีสิทธิใด ๆ ผู้ร้องสอดให้จำเลยแจ้งให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนจากที่ดินของผู้ร้องสอดภายใน 15 วัน แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามทำให้ผู้ร้องสอดเสียหายเดือนละ 90 บาท ขอให้ศาลบังคับโจทก์รื้อถอนโรงเรือนส่วนที่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ราชพัสดุของผู้ร้องสอดออกไปทั้งหมดและให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 90 บาท

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยได้รับมอบให้มีอำนาจและหน้าที่เป็นคู่ความในคดีนี้แล้ว ผู้ร้องสอดจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม หรือคู่ความฝ่ายที่สาม ผู้ร้องสอดไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง โจทก์ยอมรับว่าได้ปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยเนื้อที่ 15 ตารางวา แต่กระทำไปโดยสุจริต ยอมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 การที่จำเลยหรือผู้ร้องสอดนำที่ดินส่วนนี้ไปให้ผู้อื่นเช่าเสียก่อนอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้งผู้ร้องสอดที่ขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และยกคำร้องของผู้ร้องสอด

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตไซร้ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม” เห็นว่าบุคคลที่จะได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าวจะต้องเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นและส่วนที่รุกล้ำนั้นจะต้องเป็นส่วนน้อยส่วนที่อยู่ในที่ดินที่ตนมีสิทธิสร้างต้องเป็นส่วนใหญ่ มิฉะนั้นจะเรียกว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำไม่ได้ ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนของผู้อื่นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 และบรรยายฟ้องต่อไปว่า โรงเรือนส่วนที่รุกล้ำนั้นเนื้อที่ประมาณ 12 ตารางวา ประมาณครึ่งหนึ่งของโรงเรือนแสดงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำ ทั้งส่วนที่รุกล้ำนั้นมิใช่เป็นส่วนฟ้องอันจะเรียกว่ารุกล้ำตามมาตรา 1312 ดังวินิจฉัยแล้ว ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 จึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ต่อไป

พิพากษายืน

Share