คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้าง และสัญญาเช่าสร้างได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินแก่โจทก์หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างได้แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างให้โจทก์ได้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่โจทก์แม้ก่อนศาลมีคำพิพากษาที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 เช่าสร้างอาคารได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษ แต่จำเลยที่ 2 หรือที่ 3 ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าสร้าง สัญญาเช่าสร้างจึงยังมิได้ยกเลิกหรือเพิกถอนไป หากมีการยกเลิกการเวนคืนที่ดินสัญญาเช่าสร้างก็ยังคงมีผลอยู่เช่นเดิม ตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอนเมื่อที่ดินตามสัญญาเช่าสร้างถูกเวนคืนอันทำให้ไม่มีทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาให้เพิกถอนเพื่อโอนให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างไม่เปิดช่องให้กระทำได้ กรณีจึงต้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาในลำดับต่อมา คือจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ต้องร่วมกันชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามแล้ว

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จะต้องดำเนินการเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างก่อน หากเพิกถอนได้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างให้โจทก์ได้ ก็ให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวชดใช้เงินจำนวน3,200,000 บาท แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของคำพิพากษา กลับยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ 3 โฉนดเลขที่ 1924 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำออกขายทอดตลาด อันเป็นการไม่ชอบและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดที่ดินของจำเลยที่ 3

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ได้นำส่งคำบังคับซึ่งจำเลยทั้งสามได้รับแล้วโดยชอบ และครบกำหนดเวลาปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย โดยจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างที่ทำกับจำเลยที่ 3 โจทก์มิใช่คู่สัญญากับจำเลยที่ 2 และคำพิพากษาก็มิได้ครอบคลุมให้ใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาเพิกถอนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในกรณีที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ดำเนินการเพิกถอนสัญญาเช่าสร้าง เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ 3,200,000 บาท นอกจากนี้จำเลยทั้งสามยังต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระ เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ดังกล่าว การที่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และนำยึดที่ดินของจำเลยที่ 3 จึงสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า เดิมจำเลยที่ 1 ได้สิทธิการเช่าสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ต้องสร้างตึกแถว4 ชั้น 2 คูหา ในที่ดินดังกล่าว แล้วยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวที่ก่อสร้างแล้วเสร็จให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ต้องให้จำเลยที่ 1 เช่าตึกแถวดังกล่าวเป็นเวลา 11 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าสร้างนี้ให้แก่โจทก์ในราคา 3,000,000 บาท และได้ยื่นเรื่องขอโอนสิทธิการเช่าสร้างให้จำเลยที่ 2 พิจารณาอนุมัติ แต่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งห้ามชั่วคราวของศาลชั้นต้นที่ห้ามโอนสิทธิการเช่าสร้างของจำเลยที่ 1 ต่อมาศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ขอระงับการโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์ต่อจำเลยที่ 2 และขอโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 2 ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ระงับการขอโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์และอนุมัติให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาเช่าสร้างกับจำเลยที่ 3 ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าที่ดินและอาคารตามสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาให้โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินและอาคารตามสัญญาเช่าสร้างโดยโจทก์ยินยอมเสียค่าเช่าเดือนละ 700 บาท สำหรับระยะ 6 ปีแรก และตามอัตราที่จะปรับใหม่สำหรับ 5 ปีหลัง พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมตามระเบียบของจำเลยที่ 2 ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถ้าไม่สามารถบังคับตามคำขอข้างต้นได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 3,200,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมค่าเสียหายในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวโดยทบต้นทุกเดือน ซึ่งคดีได้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์ โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2536 ทั้งนี้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานั้น จำเลยที่ 3 ผู้อุทธรณ์และฎีกาได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์และฎีกาโดยจำเลยที่ 3 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1924 และ 1871 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วางเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับ ซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับตลอดมา หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดี และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2539 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1924 ของจำเลยที่ 3 เพื่อนำออกขายทอดตลาด ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า การบังคับคดีของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า นับตั้งแต่ศาลฎีกามีคำพิพากษา โจทก์ได้ขอออกคำบังคับและนำส่งให้จำเลยทั้งสามทราบโดยชอบแล้ว แต่ตามทางไต่สวนของจำเลยที่ 3 ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสามได้ปฏิบัติตามคำบังคับแต่อย่างใด คงได้ความเพียงว่า ก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษานั้น ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 เช่าสร้างอาคารได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษ โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ไปรับเงินค่าเวนคืนที่ดินตามเอกสารหมาย ร.1 ต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินไปยังจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ร.3 ดังนี้แม้ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 เช่าสร้างอาคารซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาถูกเวนคืนดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าสร้างระหว่างกันแต่อย่างใด สัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 จึงยังมิได้ยกเลิกหรือเพิกถอนไป หากมีการยกเลิกการเวนคืนที่ดินแปลงดังกล่าว สัญญาเช่าสร้างดังกล่าวก็ยังคงมีผลอยู่เช่นเดิม ตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอน เมื่อที่ดินตามสัญญาเช่าสร้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถูกเวนคืนอันทำให้ไม่มีทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาให้เพิกถอนเพื่อโอนให้แก่โจทก์ เช่นนี้ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลฎีกาที่ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้าง และสัญญาเช่าสร้างไม่เปิดช่องให้กระทำได้ กรณีจึงต้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาในลำดับต่อมา คือจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ต้องร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้นการที่โจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1924 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ของจำเลยที่ 3 ซึ่งวางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนของคำพิพากษาศาลฎีกาและเป็นการบังคับคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของจำเลยที่ 3 ชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share