คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีปัญหาพิพาทกันว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของจำเลยน่าเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้โจทก์อาศัยอยู่ เป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรก สำนวนที่ 2 และสำนวนที่ 3 ว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามต่างเป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองคนละแปลง จำเลยได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1695,1694, 1693 ตามลำดับ โดยจำเลยหลอกลวงเจ้าพนักงานว่าได้ก่นสร้างทำประโยชน์มา 25 ปี ความจริงจำเลยไม่เคยก่นสร้างครอบครองทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ดังกล่าว และห้ามจำเลยรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลง โจทก์ทั้งสามอยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1693, 1694, และ 1695คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีทั้งสามสำนวนนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของจำเลยน่าเชื่อว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของจำเลยให้โจทก์ทั้งสามอาศัยอยู่เป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสามสำนวน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสามสำนวน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share