คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไฟฟ้าจากจำเลยรวม 4 ฉบับ จำเลยผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยพร้อมริบหลักประกันตามสัญญารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 558,404 บาทการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแต่ละฉบับภายหลังจำเลยผิดสัญญาเป็นเวลานานเป็นปีและปรับจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นจำนวนค่าปรับสูงเกินกว่าราคาสิ่งของที่โจทก์ซื้อมาก จึงเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าปรับเป็นเงิน 260,359.20 บาท จึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเบี้ยปรับตามสัญญาซื้อขายเมื่อหักเงินประกันสัญญาแล้ว จำนวน 531,164 พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่ปรับจำนวน 531,164 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก่เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าปรับจำนวน 260,359.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าปรับเต็มตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องแก่โจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไฟฟ้าจากจำเลยที่ 1 รวม 4 ฉบับฉบับแรกซื้อเครื่องดูดฝุ่นจำนวน 28 เครื่อง เป็นเงิน 246,400 บาทกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2522 ฉบับที่ 2 ซื้อเครื่องอุปกรณ์สำรวจเข้าวงรอบ 1 ชุด เป็นเงิน 40,000 บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 27 เมษายน 2522 ฉบับที่ 3 ซื้อเครื่องตัดเหล็กไฟฟ้าชนิดตัดได้หนา 9 กอร์จ จำนวน 10 เครื่อง เป็นเงิน 42,000 บาทชนิดตัดได้หนา 14 กอร์จ จำนวน 12 เครื่อง เป็นเงิน 32,400 บาทกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2523 ฉบับที่ 4 ซื้อเครื่องมือซ่อมมอเตอร์ จำนวน 10 เครื่อง เป็นเงิน 54,800 บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 ต่อมาเมื่อถึงกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแต่ละฉบับ จำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งเครื่องดูดฝุ่นอุปกรณ์สำรวจเข้าวงรอบ เครื่องตัดเหล็กไฟฟ้าชนิดตัดได้ 9 กอร์จและเครื่องมือซ่อมมอเตอร์แก่โจทก์ โจทก์เตือนจำเลยที่ 1 ให้ส่งมอบสิ่งของดังกล่าวตามสัญญาแต่ละฉบับทุกฉบับหลายครั้งแต่จำเลยที่ 1 ก้ไม่ส่งมอบ โจทก์จึงปรับจำเลยที่ 1 ตามสัญญา และต่อมาได้บอกเลิกสัญญาทุกฉบับด้วย โจทก์คิดค่าปรับจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาทุกฉบับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบนับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันบอกเลิกสัญญาตามสัญญาแต่ละฉบับทุกฉบับรวมเป็นเงิน 531,164 บาท และริบหลักประกันตามที่ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งธนาคารได้ชำระเงินหลักประกันที่ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาแต่ละฉบับทุกฉบับรวมเป็นเงิน27,240 บาท แก่โจทก์แล้ว ส่วนค่าปรับตามสัญญาทุกฉบับรวมเป็นเงิน531,164 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ในชั้นนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันชำระเงินค่าปรับเต็มตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ ส่วนปัญหาเรื่องโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าปรับจากจำเลยทั้งสองเพิ่มจากหลักประกันหรือไม่นั้น จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา ปัญหาดังกล่าวจึงยุติ
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาฉบับแรก โจทก์ซื้อเครื่องดูดฝุ่นจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 246,400 บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 11พฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว โจทก์ปรับ และต่อมาวันที่ 8เมษายน 2524 บอกเลิกสัญญาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยที่ 1ผิดสัญญาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี โจทก์คิดค่าปรับเป็นเงิน 344,467.20บาท ตามสัญญาฉบับที่ 2 โจทก์ซื้อเครื่องอุปกรณ์สำรวจเข้าวงรอบเป็นเงิน 40,000 บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 27 เมษายน 2522จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2524 โจทก์ปรับและและบอกเลิกสัญญาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นเวลาประมาณ 1 ปี 10 เดือน โจทก์คิดค่าปรับเป้นเงิน 64,080 บาท ตามสัญญาฉบับที่ 3 โจทก์ซื้อเครื่องตัดเหล้กไฟฟ้าเป็นเงิน 74,400 บาทกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2523 จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้วโจทก์ปรับและต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2525 บอกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีโจทก์คิดค่าปรับเป็นเงิน 59,220 บาท และตามสัญญาฉบับที่ 4โจทก์ซื้อเครื่องมือซ่อมมอเตอร์เป็นเงิน 54,800 บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้วโจทก์ปรับและต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2525 บอกเลิกสัญญาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นเวลาประมาณ 1 ปี 8 เดือนโจทก์คิดค่าปรับเป็นเงิน 66,636.80 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังริบหลักประกันตามสัญญาทั้งสี่ฉบับรวมหลักประกันและค่าปรับตามสัญญาทั้งสี่ฉบับเป็นเงินทั้งสิ้น 558,404 บาท การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแต่ละฉบับภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นเวลานานเป็นปีและปรับจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นจำนวนค่าปรับดังกล่าวนั้นเห็นได้ว่าเป็นค่าปรับสูง เกินกว่าราคาสิ่งของที่โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ 1 มาก และเป็นค่าปรับที่สูงเกินส่วน ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าปรับเป็นเงิน 260,359.20 บาทจึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share