คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3818/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่ในขณะที่ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาเทศบาล โดยไม่ยอมลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาจังหวัด เป็นการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21(7) และมาตรา 65 แม้จำเลยได้ปรึกษา ผู้ตรวจการส่วนท้องถิ่นก่อนแล้วว่าจำเลยสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้ เพราะสภาพการเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ของจำเลยจะสิ้นสุดก่อนวันเลือกตั้ง ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิด ทางอาญาโดยแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 และจะอ้างว่าได้รับยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 ประกอบด้วยมาตรา 59 ก็ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2533 เวลากลางวันจำเลยได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ เนื่องจากจำเลยยังเป็นสมาชิกสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ในวันรับเลือกตั้ง ซึ่งต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21, 65พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2523มาตรา 15, 16 และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาแปดปี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21(7), 65จำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตาม มาตรา 29, 30 และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดเวลาแปดปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าเมื่อระหว่างวันที่ 7 ถึง 21 สิงหาคม 2533 ได้มีประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ในวันที่7 สิงหาคม 2533 จำเลยได้ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งขณะนั้นจำเลยยังเป็นสมาชิกสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยสมาชิกภาพของจำเลยจะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 สิงหาคม 2533ก่อนวันเลือกตั้งซึ่งกำหนดไว้วันที่ 23 กันยายน 2533 และจำเลยก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 21(7) ได้บัญญัติลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาจังหวัด กรรมการสุขาภิบาลกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หรือแพทย์ประจำตำบล จากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลว่า บุคคลที่มีลักษณะดังกล่าวห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่ในขณะที่ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ทั้งตามใบสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยเอกสารหมาย จ.3 มีข้อความระบุไว้ตอนท้ายว่าผู้รับสมัครรับรองว่ามีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลทุกประการ ซึ่งจำเลยก็ได้ลงชื่อไว้ท้ายเอกสารดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่า จำเลยรู้หลักเกณฑ์คุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลดีแต่ก็ยังฝ่าฝืนกฎหมาย ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนโดยไม่ยอมลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอน การกระทำของจำเลยจึงเจตนากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21(7)และมาตรา 65 ที่จำเลยอ้างว่าได้ปรึกษาผู้ตรวจการส่วนท้องถิ่นก่อนแล้วว่าจำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนได้ เพราะสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอนของจำเลยจะสิ้นสุดลงก่อนวันเลือกตั้งนั้น เห็นว่า มาตรา 21(7) บัญญัติไว้ชัดเจนว่ามิให้ผู้เป็นสมาชิกสภาจังหวัดสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล แม้ผู้ตรวจการส่วนท้องถิ่นจะให้คำปรึกษาแก่จำเลยดังกล่าว ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางอาญา โดยแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายได้ ตามนัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 และจะอ้างว่าได้รับยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 ประกอบด้วยมาตรา 59 ก็ไม่ได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง”
พิพากษายืน

Share