คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3818/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องคัดค้านผู้พิพากษาขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิโดยชอบ และกรณีความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงข้อมูลตามความจริงที่ปรากฏขึ้นในคดีนั้น แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความในคำร้องว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนผู้พิจารณาคดีนี้ดำเนินกระบวนพิจารณาไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายโดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์โดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายอันมีสภาพร้ายแรง ทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป ฯลฯ ไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 อันดับ 2 และ 3 ของโจทก์ด้วยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ซึ่งตามทางไต่สวนก็ปรากฏเพียงว่า เดิมศาลสั่งรับบัญชีพยานของโจทก์ไว้แล้ว ต่อมา 2 – 3 วัน ศาลได้แก้ไขคำสั่งเดิมและสั่งใหม่เป็นไม่รับบัญชีพยานอันดับ 2 และ 3 การแก้ไขคำสั่งจึงไม่มีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงดังที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้อง และผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความเกินไปจากความจริงหายผู้ถูกกล่าวหาไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวก็สามารถโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ตามกระบวนพิจารณา การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความดังกล่าว จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
โทษที่จะรอการลงโทษได้นั้น ต้องเป็นโทษจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 จะรอการลงโทษกักขังไม่ได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ทั้งสอง ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายโจทก์ทั้งสองขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑ ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานเอกสารอันดับ ๒ และ ๓ โจทก์ทั้งสองผู้อ้างยังไม่ทราบถึงความมีอยู่หรือไม่ จึงไม่รับบัญชีพยานอันดับ ๒ และ ๓ ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่รับข้างต้นมาตรวจสอบ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของศาล ต่อมาวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๑ ผู้ถูกล่าวหายื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวอีก ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตเพราะไม่รับบัญชีระบุพยานมาแต่ต้นแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจึงยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องและคัดค้านผู้พิพากษาโดยให้ปลี่ยนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน อ้างว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย โดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรม มีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว ผู้ถูกกล่าวหารับว่าได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ มีข้อความดังกล่าวแล้วข้างต้นจริง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑(๑) ให้จำคุก ๑๕ วัน ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยกระทำผิดมาก่อนให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด ๑ ปี
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า คำร้องฉบับลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ ที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียบเรียงเป็นคำร้องขอเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา แม้จะมีข้อความเป็นเชิงตำหนิผู้พิพากษา ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องกล่าวเพื่อให้มูลข้ออ้างมีน้ำหนักพอรับฟังได้ ผู้ถูกกล่าวหามิได้มีเจตนาก้าวร้าวเสียดสีไม่เคารพยำเกรงศาล ผู้ถูกกล่าวหาชอบที่จะกระทำได้อันเป็นสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีความฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่า ตามคำร้องลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ ของผู้ถูกกล่าวหา เป็นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิโดยชอบและกรณีมีความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงข้อมูลตามความจริงที่ปรากฏขึ้นในคดีนั้น แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความในคำร้องดังกล่าวว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนผู้พิจารณาคดีนี้ดำเนินกระบวนพิจารณาไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายโดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายอันมีสภาพร้ายแรง ทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป ฯลฯ ไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ อันดับ ๒ และ ๓ ของโจทก์ด้วยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง ซึ่งตามทางไต่สวนก็ปรากฏเพียงว่า เดิมศาลสั่งรับบัญชีพยานของโจทก์ไว้แล้วตามคำร้องลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑ ต่อมา ๒ – ๓ วัน ศาลได้แก้ไขคำสั่งเดิมและสั่งใหม่เป็นไม่รับบัญชีพยานอันดับ ๒ และ ๓ การแก้ไขคำสั่งจึงไม่มีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงดังที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้อง และผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความเกินไปจากความจริง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาสามารถโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ตามกระบวนพิจารณาแต่ผู้ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้กระทำดังนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความตามคำร้องลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ กล่าวหาว่าศาลไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยเที่ยงธรรมกลั่นแกล้วโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ว่า ได้มีการแก้ไขคำสั่งในบัญชีพยานของโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้จะมีการกระทำดังผู้ถูกกล่าวหาอ้างจริงหรือไม่ก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาก็หามีสิทธิที่จะกล่าวถ้อยคำเสียคดีผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีมาในคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาข้อนี้
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด ๑ ปี นั้น ยังไม่ชอบ เพราะโทษที่จะรอการลงโทษได้นั้นต้องเป็นโทษจำคุกเท่านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแล้ว จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังและให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share