คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งกำลังมึนเมาสุราดึงลูกกุญแจรถจักรยานยนต์ไปจากรถ ผู้เสียหายขอคืน จำเลยไม่ยอมคืน ผู้เสียหายจึงปล้ำแย่งเอาคืนมาจากจำเลยได้แล้วควบคุมตัวจำเลยไว้รอให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยไป ดังนี้ไม่เป็นการกระทำโดยเจตนาชิงทรัพย์เพราะจำเลยกระทำไปในขณะมึนเมาและไม่อยู่ในสภาพที่จะชิงรถจักรยานยนต์ไปจากผู้เสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 339, 80, 91
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่ไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 80 ให้จำคุก 6 ปี8 เดือน คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการมึนเมาระหว่างคุมตัวจำเลยไปสถานีตำรวจจำเลยนอนไป และได้ความจากจ่าสิบตำรวจพงษ์ไทยผู้จับกุมจำเลยว่า ขณะนั้นจำเลยมีอาการมึนเมามาก ระหว่างควบคุมจำเลยไปสถานีตำรวจจำเลยนอนไปในรถร้อยตำรวจตรีจิตเทพ อินทร์เล็ก เบิกความว่า จำเลยมีอาการมึนเมายังพอพูดรู้เรื่อง จำเลยไม่ได้ให้การในวันเกิดเหตุเพราะยังมึนเมาอยู่ จำเลยจึงให้การในวันรุ่งขึ้น จากพยานดังกล่าวรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยกำลังอยู่ในอาการมึนเมาสุราเมื่อจำเลยดึงลูกกุญแจรถไป ผู้เสียหายก็ได้ขอคืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนผู้เสียหายจึงปล้ำแย่งเอาคืนมาจากจำเลยได้ และผู้เสียหายควบคุมตัวจำเลยไว้ โดยจับมือไพล่หลัง เพื่อรอให้เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งนายพนายุทธไปแจ้งความมาจับกุมจำเลยไปเห็นได้ว่าการที่จำเลยเอาลูกกุญแจรถไปนั้นไม่ได้กระทำไปโดยเจตนาชิงทรัพย์เพราะจำเลยมึนเมา และไม่อยู่ในสภาพที่จะทำการชิงรถจักรยานยนต์ไปจากผู้เสียหายได้เพราะผู้เสียหายเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมตัวจำเลยไว้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาชิงทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share