แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตอนบนของเอกสารมีชื่อและนามสกุลของจำเลย ถัดไปเป็นรายการลงวันเดือนปีและข้อความว่า ‘เอาเงิน’กับจำนวนเงินต่างๆ กัน รวม 12 รายการ อีก 5 รายการ มีข้อความว่า ‘ข้าวสาร’ และลงจำนวนไว้ว่า 1 กส.บ้าง 1 ถังบ้าง 3 ถังบ้าง และทุกรายการมีชื่อจำเลยลงกำกับไว้เอกสารดังกล่าวไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้งรวมเป็นเงิน 10,810 บาทตามสำเนารายการใบยืมเงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 แล้วไม่คืนเงินยืมให้โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินยืมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียว ฟ้องเคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตอนบนของเอกสารดังกล่าวมีชื่อและนามสกุลของจำเลย ถัดไปเป็นรายการลงวันเดือนปีและข้อความว่า”เอาเงิน” กับจำนวนเงินต่าง ๆ กัน รวม 12 รายการ อีก 5 รายการมีข้อความว่า “ข้าวสาร”และลงจำนวนไว้ว่า 1 กส.บ้าง 1 ถังบ้าง 3 ถังบ้าง และทุกรายการมีชื่อจำเลยกำกับไว้เห็นว่าเอกสารดังกล่าวหาใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ไม่ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยยืมเงินไป จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ โจทก์จึงฟ้องคดีไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น