คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3808/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เสาไม้ของกลางเป็นไม้ที่มีการตกแต่งขัดมันทาแล็กเกอร์อย่างปราณีตมุ่งจะเอาไปใช้เป็นของโชว์เพื่อความสวยงามในห้องรับแขกตามประเพณีนิยม ของชาวญี่ปุ่นหากจะนำไม้ของกลางไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่น จะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป ถือได้ว่าไม้ของกลางเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูป มิใช่อยู่ในลักษณะอำพรางว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองซึ่งสิ่งประดิษฐ์เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดในบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามการมีไม้ของกลางไว้ใน ครอบครอง จึงไม่มีความผิดฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครอง และจำเลยสามารถนำส่งออกนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่เป็นการหลีกเลี่ยง การเสียภาษีอากรขาออก การที่จำเลยสำแดงใบขนส่งสินค้าขาออกว่า เป็นสิ่งประดิษฐ์ จึงไม่เป็นการสำแดงเท็จ แม้จำเลยจะสำแดงรายการและชนิดของไม้ไม่ถูกต้องก็ไม่ใช้ข้อสำคัญ เพราะจำเลยไม่ต้องเสีย ภาษีอากรขาออกสำหรับไม้ดังกล่าวอยู่แล้ว
จำเลยกระทำความผิดก่อนที่กฎหมายซึ่งให้แก้ไขอัตราโทษให้สูงขึ้น จะมีผลบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำผิด และมิได้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยหาได้ไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยที่1ก็เกินอัตราโทษที่กฎหมาย กำหนดไว้จึงเป็นการมิชอบปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและใบอนุญาตค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ จำเลยทั้งสองร่วมกันนำสิ่งประดิษฐ์ซึ่งทำด้วยไม้หวงห้าม เคลื่อนที่จากสถานการค้าไปยังสถานีรถไฟ โดยจำเลยไม่ทำหนังสือกำกับสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไม้หวงหามประเภท ก.ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองร่วมกันยื่นใบขนสินค้าขาออก โดยสำแดงชนิดของของว่า เสาไม้จำนวน 306 ท่อน เป็นของที่ได้รับการยกเว้นอากรและไม่ใช่ของต้องห้ามต้องจำกัด ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเสาไม้ดังกล่าวจะต้องเสียอากรขาออกตามกฎหมาย เป็นการสำแดงเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียอากรขาออกโดยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 51, 58, 53 ทวิ, 72, 73 ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับและเงินรางวัลแก่ผู้แจ้งความนำจับตามกฎหมาย และขอให้นับโทษต่อ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานนำสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้หวงห้ามเคลื่อนที่ออกจากโรงงานโดยไม่มีหนังสือกำกับสิ่งประดิษฐ์ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 53, 78 ทวิ จำเลยที่ 1 ให้ลงโทษปรับ 30,000 บาท จำเลยที่ 2ให้จำคุก 6 เดือนและปรับ 20,000 บาท กับมีความผิดฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในความครอบครองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48, 51, 72 ทวิ จำเลยที่ 1ให้ลงโทษปรับ 30,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือนและปรับ 20,000 บาทมีผิดฐานสำแดงรายการในใบขนสินค้าขาออกเป็นความเท็จ และส่งไม้ที่ยังมิได้เสียภาษีออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27, 99 ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 993,195.66บาท ให้ปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 1,986,391.32 บาท หรือปรับคนละ 993,195.66 บาท รวมโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,053,195.66 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 ปี และปรับ 1,033,195.66 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 2 ให้รอไว้ 2 ปีริบไม้ของกลางและให้จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม้ของกลางเป็นสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูปจำเลยมีไว้ในครอบครองไม่เป็นความผิดฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองและสามารถส่งออกนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรขาออกและไม่เป็นความผิดฐานสำแดงเท็จ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานนำสิ่งประดิษฐ์ซึ่งทำด้วยไม้หวงห้ามเคลื่อนที่จากโรงงานของจำเลยโดยไม่มีหนังสือกำกับสิ่งประดิษฐ์ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 58, 73 ทวิพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2528 มาตรา 23, 27 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 8 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือนและปรับ 20,000 บาท ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี คำขออื่นให้ยก ของกลางให้คืนจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ไม้ของกลางเป็นเสาไม้สี่เหลี่ยมด้านเท่า ส่วนหัวและท้ายเสายังเป็นสี่เหลี่ยมทุกด้าน ตรงกลางแกะสลักเป็นลวดลายมีลักษณะเป็นปุ่ม ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง เซาะร่องกดไปกดมาตามความยาวของเสา แล้วทาแลกเกอร์ขัดมันด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับด้านที่แกะสลักมีการเซาะร่องตรงกึ่งกลางตลอดความยาวของเสาและทาแลกเกอร์ด้าน ส่วนไม้ของกลางอีกพวกหนึ่งเป็นเสาสี่เหลี่ยมด้านเท่ามีการลบเหลี่ยมลงไปเล็กน้อย ทุกด้านไสกบไว้เรียบไม่มีการแกะสลัก ทาแลกเกอร์มันไว้ 3 ด้าน อีกด้านหนึ่งทาแลกเกอร์ด้าน แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ไม้ของกลางในคดีนี้ทั้งหมดเป็นไม้ที่มีการตกแต่งขัดมันทาแลกเกอร์อย่างประณีต หาใช่ไม้ที่ไสอย่างหยาบ ๆ หรือทาน้ำมันพอเป็นพิธีและเป็นไม้ที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน ซึ่งจัดทำขึ้นตามความต้องการของลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นที่มุ่งจะเอาไปใช้เป็นของโชว์เพื่อความสวยงามในห้องรับแขกหากจะมีการนำไม้ของกลางชนิดนี้ไปแปรสภาพไปใช้ในกิจการอย่างอื่น ย่อมจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป ฉะนั้นจึงถือได้ว่าไม้ของกลางเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูป หาใช่อยู่ในลักษณะอำพรางว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองซึ่งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดในบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้าม การมีไม้ดังกล่าวไว้ในครอบครองจึงไม่มีความผิดฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองและจำเลยสามารถนำส่งออกนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรขาออก การที่จำเลยสำแดงใบขนสินค้าขาออกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์จึงไม่เป็นการสำแดงเท็จ แม้จำเลยสำแดงรายการชนิดของไม้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะถึงอย่างไร จำเลยก็ไม่ต้องเสียภาษีอากรขาออกอยู่ดี การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 8 มาตามคำขอของโจทก์นั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดคดีนี้เมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2520 ถึงวันที่9 พฤศจิกายน 2520 เวลากลางวัน อันเป็นวันเวลาก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับ ซึ่งตามมาตรา 73 ทวิ ก่อนที่จะมีการแก้ไข มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ส่วนพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 8 ได้มีการแก้ไขอัตราโทษให้สูงขึ้น เป็นโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท กฎหมายดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด และมิได้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองหาได้ไม่ และปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท จึงเป็นการเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ และปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 58, 73 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 23, 27 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share