คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่1กล่าวแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองไปประกอบอาชีพอยู่ที่อื่น จึงไม่ทราบฟ้องของโจทก์ซึ่งเป็นเพียงเหตุที่ทำให้จำเลยที่1ขาดนัดเท่านั้นส่วนที่กล่าวว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลเป็นการกระทำไปแต่เฉพาะโจทก์เพียงฝ่ายเดียวเป็นการกระทำลับหลังจำเลยจำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ คำพิพากษาจึงไม่ผูกพันจำเลยและบริวารนั้น ไม่ใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล เมื่อคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง ที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้
เมื่อคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ยกคำขอนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ไม่ทราบฟ้องของโจทก์ เพราะไปประกอบอาชีพอยู่ที่อื่นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลเป็นการกระทำไปแต่เฉพาะโจทก์ฝ่ายเดียวและทำลับหลังจำเลย จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดี คำพิพากษาของศาลจึงไม่ผูกพันจำเลยและบริวาร ขอให้ยกคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นคำขอเกินกว่า 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้ว จึงให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง บัญญัติว่า “คำขอเช่นว่านี้ให้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลและในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย” แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ได้กล่าวแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองไปประกอบอาชีพอยู่ในท้องที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ จึงไม่ทราบฟ้องของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ขาดนัดเท่านั้นไม่ได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเลย จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวที่จะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ที่กล่าวว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลเป็นการกระทำไปแต่เฉพาะโจทก์เพียงฝ่ายเดียวเป็นการกระทำลับหลังจำเลย จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ คำพิพากษาจึงไม่ผูกพันจำเลยและบริวารนั้น ไม่ใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล และที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 อ้างว่าไปประกอบอาชีพอยู่จังหวัดอื่นไม่ทราบฟ้องของโจทก์ ตลอดจนการส่งคำบังคับอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และทำให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ก็ตามเมื่อคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ได้ กรณีไม่ใช่เป็นประเด็นใหม่ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา

พิพากษายืน

Share