คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองเสนอขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือนซึ่งผู้แทนโจทก์ยินยอมตามเงื่อนไขและได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดไว้เพื่อรอฟังผลการชำระหนี้ภายนอกคงมีความหมายเพียงว่า ถ้าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์ตามเงื่อนไขที่เสนอโดยไม่ผิดนัด โจทก์จะยังไม่ใช้สิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง แต่มิได้หมายความว่าสิทธิในการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองจะหมดสิ้นไป ทั้งข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความใดที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน หลังจากเจ้าพนักงานบังคบคดีงดการบังคับคดีไว้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 2 ครั้ง ในแต่ละครั้งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโจทก์จึงชอบที่จะดำเนินการบังคบคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 13,590,737.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน12,852,081.15 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มิถุนายน 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไปพอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้น ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ คดีอยู่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาด

จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินที่จำนองของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาด เพราะหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการผ่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เดือนละไม่น้อยกว่า 50,000บาท หลังจากทำบันทึกข้อตกลงแล้วจำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เรื่อยมาและผ่อนชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีและการยึดทรัพย์

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยทั้งสองทราบคำบังคับโดยชอบ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541 ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองขอผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยในวันดังกล่าวจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยบางส่วนเป็นเงิน 50,000 บาท และจะชำระในวันที่ 7 มกราคม กับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2542 อีก 50,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลำดับ ผู้แทนโจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดทรัพย์ไว้หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้มาโดยตลอด ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2542 ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองอีก แต่จำเลยทั้งสองขอชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก 50,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระเป็นรายเดือนไม่เกินวันที่ 15 ของเดือนและไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ผู้แทนโจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดทรัพย์ไว้เพื่อรอผลการชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดในวันที่ 24กรกฎาคม และวันที่ 28 สิงหาคม 2543 การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองจึงเป็นไปโดยชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า หลังจากโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดไว้เนื่องจากจำเลยทั้งสองขอผ่อนชำระหนี้ภายนอก จำเลยทั้งสองชำระหนี้แต่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2542 โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปเพื่อยึดทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองตามหมายบังคับคดีอีกแต่จำเลยที่ 1เสนอขอผ่อนชำระหนี้ภายนอกโดยชำระให้แก่โจทก์ในวันดังกล่าวเป็นเงิน 50,000 บาท และจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 15 ของเดือน โจทก์ยินยอมและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดไว้เพื่อรอผลการชำระหนี้ภายนอก หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์รวม 2 ครั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2543 จำนวน 40,000 บาท และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 จำนวน45,000 บาท ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองและอยู่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การบังคับคดีของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่าบันทึกข้อตกลงขอผ่อนชำระหนี้ตามสำเนารายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2542 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีท้ายคำร้องของจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมทำให้สิทธิของโจทก์ในการนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองหมดสิ้นไป โจทก์และจำเลยทั้งสองได้สิทธิใหม่เกิดขึ้น โดยโจทก์ได้สิทธิในการรับชำระหนี้ และจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามบันทึกขอผ่อนชำระหนี้ เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระแก่โจทก์โดยจำเลยทั้งสองทราบคำบังคับแล้ว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้จนครบโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองได้ แม้ในระหว่างการบังคับคดีที่ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจะเสนอขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งผู้แทนโจทก์ก็ยินยอมตามเงื่อนไขและได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการยึดไว้เพื่อรอผลการชำระหนี้ภายนอก ตามสำเนารายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2542 ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็คงมีความหมายเพียงว่า ถ้าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์ตามเงื่อนไขที่เสนอโดยไม่ผิดนัด โจทก์ก็จะยังไม่ใช้สิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแต่มิได้หมายความว่าสิทธิในการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองจะหมดสิ้นไป ทั้งข้อตกลงตามสำเนารายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความใดที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้ตามคำขอของโจทก์เพื่อรอผลการชำระหนี้ภายนอกตามที่คู่ความตกลงกัน จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 2 ครั้ง ในแต่ละครั้งก็ชำระไม่ถึง 50,000 บาท ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว โจทก์จึงชอบที่ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไปได้ การบังคับคดีของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share