คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3801/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยมีสิทธิใช้ประโยชน์จากลำเหมืองสาธารณะจำเลยไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะนำแผ่นคอนกรีตและดินไปปิดกั้นปากร่องน้ำของโจทก์ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทตามที่โจทก์มีสิทธิ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว ก็จะมีน้ำใช้เพียงพอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอในการทำนาของราษฎร แต่โจทก์มิได้ชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามควรอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1355 จึงไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ซึ่งเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 421

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามร่วมกันทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ที่ 3โดยขุดร่องน้ำประมาณ 50 เซนติเมตร จากลำเหมืองสาธารณประโยชน์ (ทุ่งอ่าง) เข้าฟาร์มโจทก์ทั้งสามเอาน้ำไปใช้ ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2536 จำเลยทั้งห้าใช้แผ่นคอนกรีตปิดกั้นร่องน้ำดังกล่าวและถมดินที่ปากร่องน้ำเพื่อไม่ให้น้ำเข้าฟาร์มโจทก์ทั้งสามเป็นเหตุให้ปลาในบ่อตายและไก่ไข่น้อยกว่าปกติ คำนวณเป็นค่าเสียหายวันละ 1,055 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสามขอคิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2536 ถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2536 รวมเป็นเงิน 29,540 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ารื้อแผ่นคอนกรีตออกและขุดดินที่ปากร่องน้ำให้ต่ำลงประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้น้ำไหลเข้าฟาร์มโจทก์ทั้งสามตามปกติหากจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้รื้อแผ่นคอนกรีตและขุดดินที่ปากร่องน้ำดังกล่าวโดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยเป็นเงิน5,000 บาท ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 29,500 บาทกับอีกวันละ 1,055 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม กับให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 29,540 บาท และจากต้นเงินวันละ 1,055 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งห้าให้การว่า ราษฎรหมู่ที่ 6 ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายร่วมกันขุดลำเหมืองสาธารณประโยชน์ (บ้านทุ่งอ่าง) ตั้งแต่ปี 2475 และได้บำรุงรักษาตลอดมา โจทก์ทั้งสามเพิ่งทำฟาร์มเมื่อปี 2533 โดยขอใช้น้ำจากกรรมการหมู่บ้านอ้างว่าจะสูบน้ำเข้าฟาร์มเป็นครั้งคราวไม่ทำให้ราษฎรเดือดร้อนแต่โจทก์ทั้งสามกลับต่อท่อใต้ดินจากฟาร์มโจทก์ทั้งสามเข้าลำเหมืองดังกล่าวเอาน้ำเข้าฟาร์มโจทก์ทั้งสามจำนวนมากราษฎรจึงมีน้ำไม่พอใช้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรื้อแผ่นคอนกรีตและขุดดินที่ปากร่องน้ำให้อยู่ในสภาพเดิมเพื่อให้น้ำไหลเข้าฟาร์มตามปกติ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันกระทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะหยุดกระทำละเมิด ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้นให้ยกเพราะกรณีมิใช่เป็นเรื่องกระทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง

จำเลยทั้งห้าฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสามน่าจะเกิดความเสียหายแก่ฝ่ายจำเลยทั้งห้า จำเลยทั้งห้าไม่ได้กระทำละเมิดจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม ปรากฏข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยโดยจำเลยทั้งห้าไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะ โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งห้าต่างมีสิทธิใช้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายจำเลยทั้งห้าใช้แผ่นคอนกรีตและดินปิดกั้นปากร่องน้ำของโจทก์ทั้งสามในส่วนที่ติดต่อกับลำเหมืองพิพาทเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าฟาร์มโจทก์ทั้งสาม เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย เห็นว่า เมื่อลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะและโจทก์ทั้งสามมีสิทธิใช้ประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าวทั้งจำเลยทั้งห้าไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะนำแผ่นคอนกรีตและดินไปปิดกั้นปากร่องน้ำของโจทก์ทั้งสามในส่วนที่ติดต่อกับลำเหมืองพิพาทการกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสามเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 นั้น ปรากฏว่านายถาวร เฉิดพันธ์ นายอำเภอเชียงของพยานจำเลยทั้งห้าเบิกความว่า พยานไกล่เกลี่ยชั้นแรกตกลงกันได้ โดยโจทก์ทั้งสามจะนำน้ำเข้าไปใช้ในฟาร์มเป็นช่วง ๆ และตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า พยานทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่าจะปิดน้ำไม่ให้โจทก์ทั้งสามใช้ คงทำไม่ได้ต้องให้โจทก์ทั้งสามใช้บ้าง นับแต่นำเรื่องมาฟ้องศาลแล้วสภาพของน้ำดีขึ้น ปัจจุบันน้ำพอใช้ทั้งสองฝ่ายสามารถแบ่งกันใช้ได้ เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายถาวรพยานจำเลยทั้งห้าข้างต้น แสดงว่า โจทก์ทั้งสามใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทตามที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งห้าแล้ว โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งห้าก็จะมีน้ำใช้เพียงพอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์ทั้งสามเปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ทั้งสามในช่วงที่เกิดเหตุก่อนฟ้องซึ่งเป็นฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอในการทำนาของราษฎร แต่ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบว่าโจทก์ทั้งสามชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามควรอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1355 แต่อย่างใด จึงไม่พอฟังว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นซึ่งเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 ดังที่จำเลยทั้งห้าฎีกา และที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้ากระทำเพื่อส่วนรวมคือราษฎรทุ่งอ่างทั้งหมด จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเรื่องละเมิด กรณีที่จะไม่ต้องรับผิดในการกระทำละเมิดนั้น ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 ถึง 452 แต่การกระทำของจำเลยทั้งห้าไม่เข้ากรณีตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามเป็นส่วนตัว ฎีกาจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปเป็นการพิพากษาเกินคำขอเพราะโจทก์ทั้งสามขอให้ชำระเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share