คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3800/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสารวัตรทหารอากาศปฏิบัติหน้าที่เวรอยู่ที่กองพันสารวัตรทหารอากาศ ได้รับคำสั่งจากนายทหารเวรซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้ไประงับเหตุที่บริเวณถนนในหมู่บ้านสวัสดิการทหารอากาศซึ่งเป็นบริเวณที่จำเลยที่ 3 จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ตามหน้าที่และตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. 2519 เมื่อจำเลยที่ 3 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตายในขณะไประงับเหตุดังกล่าว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ด้วย ผู้ตายเป็นบุตรมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 จำเลยที่ 3กระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ไม่ว่าผู้ตายจะอยู่ในฐานะที่จะอุปการะโจทก์ทั้งสองได้หรือไม่

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 247,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2526จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแทน (ตามคำขอ) จำเลยที่ 1อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 รับราชการเป็นสารวัตรทหารอากาศในสังกัดจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2526 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะจำเลยที่ 3กับพวกปฏิบัติหน้าที่เวรอยู่ที่กองพันสารวัตรทหารอากาศมีกลุ่มวัยรุ่นส่งเสียงดังและนำท่อระบายน้ำออกมาวางกีดขวางถนนในหมู่บ้านสวัสดิการทหารอากาศที่เกิดเหตุ พลอากาศตรีวีระ กิจจาธรผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรืออากาศ ซึ่งมีบ้านพักอยู่ที่หมู่บ้านดังกล่าวได้แจ้งทางโทรศัพท์ไปยังกองพันสารวัตรทหารอากาศขอให้สารวัตรทหารไประงับเหตุ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสารวัตรทหารอากาศปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยนายทหารเวรจึงรายงานให้นาวาอากาศตรีมานพขุนพรหม นายทหารเวรทราบ นาวาอากาศตรีมานพสั่งให้จำเลยที่ 2ที่ 3 นำกำลังสารวัตรทหารไปยังที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงกลุ่มวัยรุ่นต่างแยกย้ายกันหลบหนี จำเลยที่ 3 กับพวกไล่ตาม จำเลยที่ 3กระทำละเมิดเป็นเหตุให้นายประยุทธ ประยูรคำ บุตรของโจทก์ทั้งสองถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในข้อแรกมีว่า จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3 หรือไม่เพียงใด จำเลยที่ 1ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 กระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. 2519 ซึ่งห้ามสารวัตรทหารปฏิบัติต่อบุคคลอื่นที่มิใช่ทหาร ข้าราชการหรือคนงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ทั้งบริเวณที่เกิดเหตุอยู่นอกเขตกองทัพอากาศ และเป็นการกระทำเฉพาะตัวของจำเลยที่ 3 นั้น ได้ความจากคำเบิกความของพันจ่าอากาศเอกสัมพันธ์ พันธ์แน่น พยานจำเลยซึ่งรับราชการเป็นสารวัตรทหารอากาศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 ว่าที่เกิดเหตุอยู่ในจุดที่จะต้องตรวจเวรยามด้วย และจ่าอากาศเอกสมิง สาระดิษฐ์ พยานจำเลยอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นสารวัตรทหารอากาศก็เบิกความรับว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่ที่พยานรับผิดชอบ พยานออกตรวจพื้นที่ในจุดที่เกิดเหตุนั้นเป็นประจำ นอกจากนี้ยังได้ความจากนาวาอากาศโทวรพันธ์บุนนาค พยานจำเลย ซึ่งเป็นนายทหารพระธรรมนูญว่า โดยปกติสารวัตรทหารอากาศย่อมทราบดีว่าท้องที่ใดอยู่ในเขตความรับผิดชอบของกองทัพอากาศ ซึ่งสารวัตรทหารอากาศจะต้องทำการตรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ และว่าที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่มีบ้านพักของนายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการตั้งป้อมยามทหารอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านริมถนนพหลโยธิน เพื่อให้สารวัตรทหารอากาศไปดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ ถ้าเกิดมีเหตุร้ายขึ้นมาสารวัตรทหารอากาศจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทัน จึงรับฟังได้ว่าที่เกิดเหตุเป็นบริเวณซึ่งจำเลยที่ 3 จะต้องไปดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ตามหน้าที่ ประกอบกับการที่จำเลยที่ 3 กับพวกออกไปจากกองพันสารวัตรทหารอากาศในคืนเกิดเหตุได้ ก็เพราะได้รับคำสั่งจากนาวาอากาศตรีมานพ นายทหารเวรซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่มีทหารสารวัตรอยู่ในบังคับบัญชา ให้ไประงับเหตุตามที่ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากพลอากาศตรีวีระ กิจจาธร ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรืออากาศ ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพอากาศจำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 3 ไล่ติดตามผู้ตายกับพวกเป็นส่วนหนึ่งของการไประงับเหตุ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. 2519 ข้อ 6 ได้กำหนดไว้ว่า”เพื่อให้การรักษาระเบียบวินัยดำเนินไปโดยเคร่งครัด รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ให้สารวัตรทหารมีหน้าที่ดังนี้
6.8 หน้าที่อื่นตามที่กระทรวงกลาโหมหรือผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารจะกำหนด” และข้อ 3.3 ว่า “3.3 คำว่า “ผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร” หมายถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่มีทหารสารวัตรอยู่ในบังคับบัญชา ….ฯลฯ….” จำเลยที่ 3 กับพวกไปยังที่เกิดเหตุตามคำสั่งของนาวาอากาศตรีมานพ นายทหารเวร ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร เพื่อระงับเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้นจึงไม่ขัดต่อข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. 2519และไม่เป็นการกระทำเฉพาะตัว หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ดังฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อต่อไปว่า ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ชดใช้แก่ฝ่ายโจทก์มีจำนวนสูงเกินไปนั้น ได้ความว่าโจทก์ที่ 1 รับราชการทหารมียศเป็นร้อยตรี โจทก์ที่ 2 ประกอบอาชีพค้าขาย ผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะที่มีอายุประมาณ 20 ปี กำลังศึกษาเล่าเรียน มีผู้ไปในงานศพเป็นจำนวนมาก โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้เป็นจำนวนเงิน 205,600 บาท ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้เพียง 47,500 บาท ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนที่เรียกร้องเป็นการพอสมควรและเหมาะสมแล้วสำหรับค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ชดใช้สูงเกินไปและถึงแม้ว่าผู้ตายจะไม่ตายต่อไปก็ไม่แน่ว่าผู้ตายจะต้องพึ่งพาอาศัยโจทก์ทั้งสองหรือไม่นั้น เห็นว่าผู้ตายมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 จำเลยที่ 3 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ ไม่ว่าผู้ตายจะอยู่ในฐานะที่จะอุปการะโจทก์ทั้งสองได้หรือไม่”
พิพากษายืน

Share