แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะผู้เสียหายนอนกับลูกในห้องนอนยังไม่ทันหลับ จำเลยเข้ามานั่งยอง ๆ ที่ปลายเท้า ผู้เสียหายถามถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาจำเลยก็ห้ามส่งเสียงดังมิฉะนั้นจะเชือดคอ แล้วจำเลยใช้มือซ้ายจับมือขวาผู้เสียหายใช้มือขวาซึ่งถือมีดกดหัวเข่าผู้เสียหายไว้ผู้เสียหายดิ้น ศอกผู้เสียหายไปถูกลูกคนเล็กร้องขึ้น พอผู้เสียหายพูดขึ้นว่าสามีผู้เสียหายมา จำเลยก็หนีไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 และฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 365จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 365 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 278, 90 จำคุก 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้มีเพียงว่าจำเลยคือคนร้ายรายนี้หรือไม่เท่านั้น โจทก์มีประจักษ์พยาน 1 ปาก คือนางข้อลีย๊ะกะสิรักษ์ ผู้เสียหาย ยืนยันว่าจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยโดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องทะลุช่องโหว่หลังคาและฝาบ้านเข้าไปในห้องนอนและเห็นจำเลยเข้าประตูบ้านไปนั่งยอง ๆ อยู่ปลายเท้าขณะผู้เสียหายกำลังนอนยังไม่ทันหลับหันปลายเท้าไปทางประตู พอผู้เสียหายถามถึงจุดประสงค์ที่เข้ามา จำเลยก็ห้ามส่งเสียงมิฉะนั้นจะเชือดคอ แล้วใช้มือซ้ายจับมือขวาผู้เสียหาย เอามือขวาซึ่งถือมีดกดหัวเข่าผู้เสียหายไว้ ผู้เสียหายดิ้น ศอกผู้เสียหายถูกลูกคนเล็กร้องขึ้น พอผู้เสียหายพูดว่าสามีมาจำเลยก็หนี หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที นายส้าหมาดกะสิรักษ์ สามีกลับมาบ้าน ผู้เสียหายก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง รุ่งขึ้นผู้เสียหายได้แจ้งความแก่นายอุหมาก บุตรหล้าผู้ใหญ่บ้านและร้อยตำรวจโทโสภณ สุขแก้ว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภออ่าวลึก ตามลำดับโดยระบุจำเลยเป็นคนร้ายทุกครั้งโจทก์มีนายส้าหมาด กะสิรักษ์ เป็นพยานแวดล้อมใกล้ชิด เบิกความสนับสนุนว่า ก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยพยานพบและช่วยจำเลยถอยเรือขณะพยานจะออกเรือจากหาดใกล้บ้านไปกู้อวนในทะเล ขากลับก็พบจำเลยแจวเรือไปจากที่เดิม พอขึ้นบ้านผู้เสียหายก็เล่าเรื่องที่ถูกจำเลยบุกรุกกระทำอนาจารเป็นคดีนี้ แสดงว่าจำเลยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุขณะเหตุเกิดนายส้าหมาดยืนยันด้วยว่า คืนเกิดเหตุมีพระจันทร์ส่องสว่างเต็มที่ ส่วนบ้านเกิดเหตุนั้น หลังคาและฝาผุพังเป็นรูถ้าฝนตกก็เปียกหมด ซึ่งตรงกับคำเบิกความของร้อยตำรวจโทโสภณ สุขแก้ว ที่ยืนยันว่าบ้านเกิดเหตุมุงหลังคาด้วยจากผุมีรูประกอบกับวันเกิดเหตุคือวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 ตรงกับวันขึ้น12 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินหลวง พระจันทร์ขึ้นอยู่บนท้องฟ้าขณะเกิดเหตุและส่องแสงทะลุช่องโหว่หลังคาลงไปในห้องนอนให้ผู้เสียหายเห็นคนร้ายถนัดได้ ข้ออ้างของผู้เสียหายจึงสมเหตุสมผลน่าเชื่อยิ่งกว่านั้น ยังได้ความจากผู้เสียหายและตัวจำเลยเองด้วยว่าต่างรู้จักคุ้นเคยกันมานาน จำเลยเองก็รับอยู่ว่ากลางวันเกิดเหตุผู้เสียหายยังไปช่วยจำเลยแกะเนื้อปูที่บ้านจำเลย ดังนั้นผู้เสียหายจึงน่าจะจำจำเลยได้ไม่ผิดตัว และน่าจะไม่มีสาเหตุที่จะปรักปรำจำเลยด้วย นายอุหมากและร้อยตำรวจโทโสภณพยานโจทก์ผู้รับแจ้งความก็ยืนยันว่าผู้เสียหายระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายตลอดมา แสดงความมั่นใจในความจำของผู้เสียหายเป็นอย่างยิ่ง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงพอ ฟังได้ว่าจำเลยคือคนร้ายรายนี้ ฐานที่อยู่ของจำเลยที่นำสืบต่อสู้ไว้ไม่ไกลเกินกว่าที่จำเลยจะมากระทำความผิดคดีนี้ไม่ได้ จึงมีน้ำหนักน้อยไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน