คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามนัยมาตรา 521 นั้นจะต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้รับแต่บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลงและบ้านอีก 1 หลังตกเป็นของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามมาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แม้ไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์และจำเลยเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กหญิงผกามาศและเด็กชายประธาน ต่อมาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2530 โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันในการตกลงหย่าขาดจากกันดังกล่าว โจทก์และจำเลยทำบันทึกหลังทะเบียนการหย่า ตกลงมอบทรัพย์สินให้แก่บุตรทั้งสองคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 6457 ตำบลกังแอนอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และบ้านเลขที่ 299 บนที่ดินดังกล่าวกับที่ดินสวนตั้งอยู่หมู่ที่ 5 อีก 1 แปลง หลังจากตกลงกันแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินตามฟ้องให้แก่เด็กหญิงผกามาศและเด็กชายประธานมณีวงศ์ ภายใน 7 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกหลังทะเบียนการหย่าจริง ในเรื่องทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันก็ได้แบ่งกันตามบันทึกหลังทะเบียนการหย่าข้อ 2 แล้ว ส่วนบันทึกหลังทะเบียนการหย่าข้อ 3 เป็นทรัพย์สินของจำเลย จำเลยได้อาศัยทำกินตลอดมาเพื่อหาเงินส่งไปอุปการะบุตรของจำเลย การที่โจทก์ในฐานะผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์หรือในฐานะผู้จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินของจำเลยให้บุตรตามบันทึกหลังทะเบียนการหย่า ข้อ 3 ไม่ได้จดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลผูกพันจำเลย อนึ่ง บันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ระบุเวลาไว้ โจทก์ไม่บอกกล่าวก่อน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะเป็นการฟ้องเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่เด็กหญิงผกามาศและเด็กชายประธาน มณีวงศ์ และให้จำเลยออกไปจากบ้านและที่ดินตามฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยแต่เพียงว่า การที่จำเลยยอมทำบันทึกหลังทะเบียนการหย่ายกที่ดินพิพาทจำนวน2 แปลง และบ้านอีก 1 หลังอันเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาที่ได้จดทะเบียนหย่ากันให้แก่เด็กหญิงผกามาศและเด็กชายประธานบุตรผู้เยาว์ทั้งสองโดยมิได้มีการจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของมาตรา525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 จะต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่ายฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับ แต่บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 หรือเอกสารหมาย จ.3 นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือแทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลงและบ้านอีก 1 หลัง ตกเป็นของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยฎีกา กล่าวคือ แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share