แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกระทำความผิดอาญาบางอย่าง ผู้กระทำผิดอาจกระทำได้โดยลำพังคนเดียว โดยไม่มีพยานรู้เห็น คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ทางโทรศัพท์ต่อ ค. บุคคลที่สามซึ่งโทรศัพท์มาจากประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นจำเลยอยู่ในประเทศไทย ทำงานอยู่ที่บริษัท อ. แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าวันดังกล่าวจำเลยอยู่ที่ไหน จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บริษัท ซ. เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายสถานที่เกิดเหตุว่าเหตุเกิดที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย แต่จะเกิดเหตุที่บริษัทที่จำเลยทำงานอยู่หรือเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลยหรือที่ใดในประเทศไทย ไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งจำเลยสามารถรู้และเข้าใจได้ถึงข้อที่จำเลยถูกกล่าวหา เพราะคำฟ้องได้กล่าวถึงบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดซึ่งจำเลยทราบอยู่แล้ว คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจกับหนังสือพิมพ์ธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น ฉบับละ 7 ครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ลงโทษจำคุก 1 เดือน และปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามมาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 ยกคำขออื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติถึงข้อความที่ต้องบรรยายในคำฟ้องว่า การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ซึ่งหมายความว่า คำฟ้องโจทก์ต้องบรรยายให้จำเลยสามารถรู้และเข้าใจได้ถูกต้องว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดนั้น จำเลยกระทำความผิด ณ สถานที่ใด แต่การกระทำความผิดอาญาบางอย่าง ผู้กระทำผิดอาจกระทำได้โดยลำพังคนเดียว โดยไม่มีพยานรู้เห็น เช่น การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อกับบุคคลที่สามกล่าวข้อความใส่ความหมิ่นประมาทผู้อื่น ซึ่งอาจไม่มีบุคคลใดทราบว่าขณะผู้กระทำความผิดกล่าวข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นทางโทรศัพท์นั้น ผู้กระทำความผิดอยู่ ณ ที่ใด คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ทางโทรศัพท์ต่อนายโคจิบุคคลที่สามซึ่งโทรศัพท์มาจากประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นจำเลยอยู่ในประเทศไทย ทำงานอยู่ที่บริษัทเอ.พี.เอฟ. แมเนจเม้นท์ จำกัด แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าวันดังกล่าวจำเลยอยู่ที่ไหน จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บริษัทซิทเท็ม โตไก เอเชีย จำกัด เลขที่ 564/7 ถนนรามคำแหง 39 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร เห็นได้ว่า โจทก์ได้บรรยายสถานที่เกิดเหตุว่าเหตุเกิดที่ประเทศญี่ปุ่นและที่ประเทศไทย แต่จะเกิดเหตุที่บริษัทที่จำเลยทำงานอยู่หรือเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลยหรือที่ใดในประเทศไทย ไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งจำเลยสามารถรู้และเข้าใจได้ถึงข้อที่จำเลยถูกกล่าวหา เพราะคำฟ้องได้กล่าวถึงบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งจำเลยทราบอยู่แล้ว คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยความผิดของจำเลยตามที่จำเลยอุทธรณ์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกาของคู่ความ จึงสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่