คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3799/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคแรกที่บัญญัติให้เจ้าหนี้เป็นผู้มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หมายถึงเจ้าหนี้ผู้ไม่มีอำนาจเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น ส่วนกรณีตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ข้อ 10 ที่ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษให้อธบดีกรมแรงงานมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ไม่จ่ายเงินสมทบ และหรือเงินเพิ่มได้ กรมแรงงานผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีอำนาจดังกล่าวด้วยโดยมีสิทธิจะบังคับเหนือทรัพย์สินของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 แม้ผู้ร้องจะไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ตาม ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยยอมจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายดังกล่าว โจทก์จึงยึดทรัพย์ของจำเลยหลายรายการเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ของจำเลยบางรายการชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วคงเหลือทรัพย์ของจำเลยบางรายการ ซึ่งบริษัทอาเซียคลังสินค้าจำกัด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกรายหนึ่งขอยึดต่อจากโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมาย ผู้ร้องได้ประเมินให้จำเลยจ่ายแล้ว
แต่จำเลยจ่ายไม่ครบ ค้างอยู่อีก ๑๓๘,๗๐๔.๒๑ บาท เนื่องจากโจทก์ได้ยึดทรัพย์ของจำเลยและจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นพอชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยตามจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมกับเงินสมทบเพิ่มให้แก่ผู้ร้อง
ศาลแรงงานกลางสั่งคำร้องของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา ทั้งมิได้รับยกเว้นให้เฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงไม่มีสิทธิเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลย ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน วินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานกองทุนเงินทดแทนเป็นหน่วยงานหนึ่งของผู้ร้อง ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับเงินทดแทนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๒ (๖) และข้อ ๓ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบกิจการผลิตสิ่งของจากกระดาษซึ่งมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนในแต่ละปีให้แก่ผู้ร้องตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ประเภท ขนาดของกิจการและท้องที่ที่นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ข้อ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๘ ถึง พ.ศ.๒๕๓๐ ผู้ร้องได้ประเมินเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนในแต่ละปีจำนวนหนึ่งให้จำเลยจ่ายให้แก่ผู้ร้อง และเรียกเก็บจากจำเลยแล้วแต่จำเลยผิดนัดโดยมิได้จ่ายให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรแรก ซึ่งบัญญัติให้เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หมายถึงเจ้าหนี้ผู้ไม่มีอำนาจเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น แต่กรณีนี้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๑๐ ได้กำหนดไว้เป็นพิเศษ โดยให้อธิบดีกรมแรงงานมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึดอายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ไม่จ่ายเงินสมทบหรือเงินเพิ่มได้ ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีอำนาจยึด อายัดหรือขาดทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลก่อนซึ่งถือว่าผู้ร้องมีสิทธิที่จะบังคับเหนือทรัพย์สินของจำเยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ แม้ผู้ร้องจะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำร้อง ผู้ร้องก็มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยได้
อนึ่ง เนื่องจากศาลแรงงานกลางยังมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๑ และยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยค้างจ่ายเงินสมทบให้แก่ผู้ร้องตามคำร้องหรือไม่ เป็นเงินเท่าใด และจำเลยมีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้ผู้ร้องหรือไม่ จำเป็นต้องให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการให้ถูกต้องก่อน
พิพากษายกคำสั่งศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการตามนัยที่กล่าวข้างต้น แล้วมีคำสั่งใหม่ต่อไป

Share