คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา4 นั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้แก่ศาลทั่วไป แต่สำหรับอำนาจของศาลแพ่งนั้นยังมีอำนาจที่จะพิจารณา พิพากษาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลแพ่งด้วยตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม.14(4) คดีที่เกิดนอกเขตศาลแพ่งและจำเลยมีภูมิลำเนานอกเขตศาลแพ่ง เมื่อศาลแพ่งรับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จ ดังนี้แสดงว่า ศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม.14(4) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญาเช่าที่ดินธรณีสงฆ์ของโจทก์ 2 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 890 และเลขที่ 895 เพื่อดำเนินการก่อสร้างเป็นโรงพยาบาล มีกำหนด25 ปี จดทะเบียนการเช่าแล้ว หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ขออนุญาตให้มีการเช่าช่วงได้ วัดโจทก์ก็อนุญาต ทั้งนี้โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลได้สำเร็จ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าช่วงให้แก่จำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแบ่งจัดสรรที่ดินออกเป็นแปลงแล้วให้บุคคลภายนอกเช่าเพื่อปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย ผิดวัตถุประสงค์แห่งการเช่าขอให้พิพากษาให้สัญญาเช่าและสัญญาเช่าช่วงสิ้นสุดลง ให้จำเลยจดทะเบียนเลิกการเช่าและการเช่าช่วง

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีส่วนจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องแย้งด้วย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้สัญญาการเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 สิ้นสุดลง ให้จดทะเบียนเลิกการเช่าและการเช่าช่วง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะคดีที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้อง ส่วนอุทธรณ์ตามฟ้องแย้งเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่รับ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาว่า (1) ศาลแพ่งไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ (2) จำเลยไม่ผิดสัญญา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 เป็นบทบัญญัติที่ใช้แก่ศาลทั่วไปแต่สำหรับอำนาจของศาลแพ่งที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งด้วยนั้น เป็นอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) หาเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 ไม่ คดีนี้ปรากฏตามฟ้องว่าคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดนนทบุรี จำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนนทบุรี ศาลแพ่งรับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จ แสดงว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4)

ที่จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยทั้งสองใช้ทรัพย์สินที่เช่าไปจัดสรรให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้านอยู่อาศัยซึ่งไม่ได้ระบุห้ามไว้ในสัญญานั้นเป็นการผิดสัญญาหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญเช่าและจดทะเบียนการเช่าที่ดินของโจทก์เป็นเวลา 25 ปี เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าช่วงจากจำเลยที่ 1 โดยชอบและทราบข้อความในสัญญาเช่าเดิมระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ดี แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันนำที่เช่าไปแบ่งจัดสรรให้บุคคลภายนอกเช่าปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารหลังหนึ่งในที่พิพาทจะส่งมอบให้วัดโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นโรงพยาบาล วัดโจทก์เห็นว่าไม่ใช่โรงพยาบาลจึงไม่ยอมรับและบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ 2 และผู้เช่าช่วงรายอื่น ตามสัญญาจำเลยที่ 1 เช่าที่ดินของวัดโจทก์เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่มีข้อความระบุว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ทรัพย์ที่เช่าเพื่อการอย่างอื่น การที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าและจำเลยที่ 2 ผู้เช่าช่วงร่วมกันนำที่เช่า ไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงปลูกบ้านอยู่อาศัยจึงเป็นการใช้ทรัพย์เพื่อการอย่างอื่น ผิดวัตถุประสงค์ของการเช่าซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาโจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาได้ จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าสัญญาเช่าเดิมไม่ได้ระบุห้ามนำที่ดินไปจัดสรร จึงนำที่ดินออกจัดสรรให้ผู้อื่นเช่าช่วงปลูกบ้านอยู่อาศัยได้หาได้ไม่

พิพากษายืน

Share