คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3788/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเสียภาษีอากรขาเข้าสำหรับสินค้าของโจทก์ต้องเป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 บัญชีพิกัดอัตราอากรขาเข้าท้ายพระราชกำหนดดังกล่าวที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วกำหนดสินค้ารถบรรทุกชนิดพิคอับไว้ในประเภทที่ 87.02 ค.(2) ให้ต้องเสียอากรขาเข้าร้อยละ 80 เมื่อโจทก์นำรถบรรทุกชนิดพิคอับเข้ามาจึงต้องเสียค่าภาษีตามประเภทและอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่เสียค่าภาษีตามประกาศของอธิบดีกรมศุลกากร
โจทก์มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องสำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าโดยสำแดงประเภทของและเกณฑ์ปริมาณที่ต้องใช้ในการเก็บอากรให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่จำแนกและกำหนดไว้ในพิกัดอัตราอากรท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร หากแสดงไว้ไม่ครบถ้วนถูกต้องมิให้ถือว่าบริบูรณ์ จำเลยมีอำนาจเรียกเก็บส่วนที่ขาดให้ครบเต็มจำนวนได้ตามกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งรถยนต์พิคอับจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อเรือบรรทุกสินค้าดังกล่าวมาถึงท่าเรือกรุงเทพ โจทก์ทำใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเพื่อชำระภาษีต่อจำเลยในพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒ ข.(๒)ในอัตราร้อยละ ๔๐ ของราคาสินค้า กับได้ชำระภาษีและจำหน่ายสินค้าไปหมดแล้ว ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์เสียค่าภาษีเพิ่มอีก อ้างว่าโจทก์แสดงพิกัดอัตราศุลกากรคลาดเคลื่อนโดยสินค้าของโจทก์จะต้องเสียภาษีตามพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒ (๒) ในอัตราร้อยละ ๘๐ ของราคาสินค้า โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของจำเลย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งโจทก์ว่าอธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจที่จะตีความในพิกัดอัตราอากรได้ ซึ่งไม่ชอบด้วยเหตุผล เพราะเรือบรรทุกสินค้าของโจทก์มาถึงท่าเรือกรุงเทพเวลา ๕.๓๐ น. ของวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๓ อยู่ภายใต้บังคับคำวินิจฉัยพิกัดอัตราว่าเป็นสินค้าประเภทที่ ๘๗.๐๒ ข.(๒) ส่วนคำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ว่าเป็นสินค้าประเภทที่ ๘๗.๐๒ ค.(๒) ยังไม่มีผลบังคับใช้ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มเติมหรือให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่ากับจำนวนค่าภาษีอากรที่เรียกจากโจทก์โดยหักกลบลบหนี้กัน
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๓ ได้มีประกาศกรมศุลกากรเรื่องแจ้งอัตราอากรออกใช้บังคับ โดยมีคำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ ป.อ.๑๐๐/๒๕๒๓ ของอธิบดีกรมศุลกากรว่า สินค้ารถยนต์ชนิดพิคอับจัดเข้าพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒ ค(๒) และยกเลิกคำวินิจฉัยที่ ๑๐๒/๒๕๐๘ ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วินาทีแรกของวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๓ ต้องเสียภาษีอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ ๘๐ อย่างไรก็ดีแม้อธิบดีกรมศุลกากรจะไม่ตีความให้รถยนต์พิคอับอยู่ในพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒ ค.(๒) เมื่อเป็นรถยนต์ชนิดพิคอับ โจทก์ก็ต้องชำระค่าภาษีอากรตามพิกัดอัตราอากรท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ ที่แก้ไขแล้ว ในพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒(๒) อัตราร้อยละ ๘๐ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท คำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ ๑๐๒/๒๕๐๘ เป็นเพียงการตีความของอธิบดีกรมศุลกากร ไม่มีผลลบล้างพระราชกำหนดดังกล่าว จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามคำฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การเสียค่าภาษีนั้นกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐ วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ความว่า “บรรดาค่าภาษีนั้น ให้เก็บตามพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร…………………..” นอกจากนี้ พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ของที่นำหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ให้เรียกเก็บและเสียภาษีอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราอากรแนบท้ายพระราชกำหนดนี้” การเสียอากรขาเข้าของโจทก์จึงต้องเป็นไปตามบทกฎหมายดังกล่าว ปรากฏว่าบัญชีพิกัดอัตราอากรขาเข้าท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๓๕) พ.ศ. ๒๕๒๑ กำหนดสินค้ารถบรรทุกชนิดพิคอับไว้ในประเภทที่ ๘๗.๐๒ ค.(๒) ให้ต้องเสียอากรขาเข้าร้อยละ ๘๐ เมื่อโจทก์นำรถบรรทุกชนิดพิคอับเข้ามาจึงต้องเสียค่าภาษีตามประเภทและอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่เสียค่าภาษีตามประกาศของอธิบดีกรมศุลกากร ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ถ้าโจทก์จะต้องเสียค่าภาษีในพิกัดประเภทที่ ๘๗.๐๒ ค.(๒)แล้ว ย่อมเกิดจากการทำละเมิดของจำเลย เพราะโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ขายสินค้าไปหมดแล้ว ไม่อาจเรียกค่าภาษีที่จะต้องเสียเพิ่มจากลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้วมาได้อีกนั้น เห็นว่าการกระทำอันจะเป็นมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ นั้น จะต้องทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย โจทก์เป็นผู้ละเมิดกฎหมายโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับ เพราะโจทก์มีหน้าที่ต้องสำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าโดยสำแดงประเภทของและเกณฑ์ปริมาณที่ต้องใช้ในการเก็บอากรให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่จำแนกและกำหนดไว้ในพิกัดอัตราอากรท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ หากแสดงไว้ไม่ครบถ้วนถูกต้องมิให้ถือว่าบริบูรณ์ จำเลยมีอำนาจเรียกเก็บส่วนที่ขาดให้ครบเต็มจำนวนได้ตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ กฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวรับรองและคุ้มครองสิทธิให้จำเลยกระทำได้โดยชอบ ไม่เป็นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และไม่มีหนี้ที่จะนำไปหักกลบลบหนี้กับค่าภาษีที่โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระให้ครบถ้วนตามกฎหมายดังคำแก้ฎีกาของโจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share