แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยได้ฟ้องหย่าโจทก์ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ระหว่างพิจารณาโจทก์ได้ฟ้องขอหย่าจากจำเลยและจำเลยได้ฟ้องแย้งขอหย่าทั้งขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีนี้ ต่อมาคู่ความตกลงกันในคดีก่อนทำสัญญาประนีประนอมหย่าขาดจากกัน และศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ส่วนในคดีนี้คู่ความได้ตกลงสละประเด็นเรื่องฟ้องหย่าตั้งแต่ก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องหย่าในคดีนี้ นอกจากนี้ประเด็นในการฟ้องหย่ามีสาระเป็นเรื่องของสภาพการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา แต่เรื่องการขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีฟ้องเรียกทรัพย์สินโดยมีสาระอยู่ที่ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรสหรือไม่ จึงเป็นคนละมูลคดีกัน แม้จะมีผลมาจากการฟ้องหย่า แต่ก็หาจำต้องฟ้องขอแบ่งสินสมรสมากับคดีฟ้องหย่าไม่ นอกจากนี้ก็ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าจะต้องฟ้องขอแบ่งสินสมรสมาพร้อมกันกับการฟ้องหย่าดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอแบ่งสินสมรสคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๐๓๕๓ และเลขที่ ๘๐๓๕๔ ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหรือหากไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ให้จำเลยชำระราคาเป็นเงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในอัตราอย่างสูงแทนโจทก์ด้วย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์แบ่งสินสมรสให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท และคืนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่จำเลย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนคิดเป็นเงิน ๓๑๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งจำเลยเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๙๘๔/๒๕๓๙ ของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในคดีดังกล่าวจำเลยฟ้องหย่าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ขอแบ่งสินสมรส ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นความเท็จทั้งสิ้น รถยนต์จี๊ปและรถยนต์วอลโว่ไม่ใช่สินสมรส บิดามารดาโจทก์เป็นผู้ผ่อนชำระเพียงแต่ยืมชื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองแทน บิดามารดาโจทก์ได้ขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จี๊ปให้แก่บุคคลภายนอกก่อนที่จำเลยจะหนีออกไปจากบ้านโจทก์ ส่วนกล้องถ่ายรูปไลก้าไม่มีทรัพย์สินนี้แต่อย่างใด รถยนต์วอลโว่ปัจจุบันบิดามารดาโจทก์ยังเป็นผู้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นตามฟ้องแย้งเป็นความเท็จ โจทก์ไม่เคยนำมาจากจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนให้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ส่วนฟ้องแย้งพิพากษาให้โจทก์แบ่งกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๖ ษ – ๕๗๙๗ กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมเห็นสมควรให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินสินสมรสจำนวน ๙๒๘,๒๑๑.๘๓ บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อปี ๒๕๓๘ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๔๐ จำเลยได้ฟ้องหย่าโจทก์ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางก่อนที่โจทก์จะฟ้องขอหย่าจากจำเลยในคดีนี้ และคดีดังกล่าวนั้นคู่ความตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมหย่าขาดจากกัน และศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า คำฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ เห็นว่า ประเด็นเรื่องฟ้องหย่านั้น ในคดีที่จำเลยเป็นฝ่ายฟ้องหย่า คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมหย่าขาดจากกัน และศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมจนคดีถึงที่สุด และในคดีนี้คู่ความได้ตกลงสละประเด็นดังกล่าวตั้งแต่ก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องหย่าในคดีนี้ คงมีข้อพิจารณาเพียงเรื่องคำฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสว่าเป็นมูลคดีเดียวกันที่จำเลยจะต้องฟ้องไปพร้อมกับคดีที่จำเลยเป็นฝ่ายฟ้องขอหย่าหรือไม่ เห็นว่า ประเด็นในการฟ้องหย่ามีสาระเป็นเรื่องของสภาพการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา แต่เรื่องการขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีฟ้องเรียกทรัพย์สินโดยมีสาระอยู่ที่ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรสหรือไม่ จึงเป็นคนละมูลคดีกันแม้จะมีผลมาจากการฟ้องหย่า แต่ก็หาจำต้องฟ้องขอแบ่งสินสมรสมากับคดีฟ้องหย่าไม่ นอกจากนี้ก็ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าจะต้องฟ้องขอแบ่งสินสมรสมาพร้อมกันกับการฟ้องหย่าดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ฟ้องแย้งของจำเลยขอแบ่งสินสมรสจึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์แบ่งสินสมรสรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๖ ษ – ๕๗๙๗ กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง ถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันให้นำรถยนต์คันดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง หากไม่สามารถนำรถยนต์มาแบ่งกันได้ให้โจทก์คืนสินสมรสส่วนนี้เป็นเงิน ๗๕๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท.