คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3786/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 จึงมีสิทธิรับมรดกของบิดาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบ ด้วยกฎหมายของ ป. แต่นำสืบว่าโจทก์เป็นบุตรที่ป.รับรองแล้วไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่+วินิจฉัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ป. เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกเฉพาะส่วนของ ส. แล้วนำสืบว่า ป. มีสิทธิรับมรดกเพราะ ส. ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ ป. หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นทายาทของป. จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกไม่จัดการทรัพย์มรดกโจทก์ จึงขอให้บังคับให้จำเลยจัดการโอนให้ ดังนี้ เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกทายาทมีสิทธิฟ้องคดี ภายใน 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประสงค์ มีสวัสดิ์ ก่อนนายประสงค์ถึงแก่กรรมนายประสงค์มีสิทธิรับมรดกเฉพาะส่วนของนายสหาก มีสวัสดิ์แต่ผู้เดียวในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๖ และบ้านซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าว จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสงค์ทำหน้าที่โดยทุจริตคือขายที่ดินดังกล่าวไปบางส่วนไปราคาประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยส่งมอบเงินให้โจทก์เพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยยักยอกส่วนที่เหลือไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเฉพาะส่วนที่เหลือพร้อมบ้านแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยและให้มีคำสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสงค์
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งหมดไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายประสงค์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทรัพย์ตามฟ้องเดิมเป็นของนายสหากซึ่งถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ มรดกจึงตกแก่ทายาททุกคนของนายสหากหาใช่ตกแก่นายประสงค์คนเดียวไม่จำเลยมิได้ทุจริตต่อหน้าที่ผู้จัดการมรดก เมื่อจำเลยขายทรัพย์มรดกแล้วได้แบ่งเงินให้โจทก์มากกว่าจำนวนที่โจทก์ควรจะได้รับเสียอีกคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเฉพาะส่วนที่เหลือพร้อมบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งหก หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายประสงค์ มีสวัสดิ์ บิดารับรองแล้วถือได้ว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๗ จึงมีสิทธิรับมรดกของนายประสงค์ผู้บิดา ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประสงค์ แต่นำสืบว่าเป็นบุตรที่นายประสงค์รับรองแล้วเป็นการนำสืบนอกฟ้องนั้นเห็นว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วก็มีสิทธิรับมรดกเช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงมิได้นำสืบนอกฟ้องแต่อย่างใด
ส่วนปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยฎีกาด้วยว่าการที่โจทก์นำสืบว่านายสหากทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้นายประสงค์เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่านายประสงค์เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกเฉพาะส่วนของนายสหากแต่ผู้เดียวในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๖ พร้อมบ้านซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าวการที่โจทก์นำสืบว่านายประสงค์มีสิทธิได้รับมรดกเพราะนายสหากทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้นายประสงค์จึงหาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้กล่าวอ้างว่านายประสงค์บิดาโจทก์ได้รับมรดกโดยทางพินัยกรรม แม้จำเลยจะโอนรับมรดกที่พิพาทไว้ในฐานะผู้จัดการมรดกก็ตาม โจทก์ต้องฟ้องคดีภายใน ๑ ปี จะนำอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๓ วรรคสองมาใช้บังคับไม่ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องตั้งประเด็นว่าโจทก์เป็นทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างของนายประสงค์บิดาจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสงค์ไม่จัดการโอนทรัพย์มรดกดังกล่าวให้โจทก์ทั้งหกคนจึงฟ้องบังคับให้จำเลยจัดการโอนให้ ดังนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก ทายาทมีสิทธิฟ้องคดีภายใน ๕ ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๓๓ วรรคสอง
พิพากษายืน

Share