คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3782/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ต้องออกจากที่ดินพิพาทเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของบุตรจำเลยที่1เป็นการออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์และบุตรมิได้ออกไปโดยเจตนาสละการครอบครองโจทก์ยังแสดงเจตนายึดถือที่ดินพิพาทด้วยการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกในการจัดการที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์และด้วยการขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ในเวลาต่อมาทั้งนำสืบว่าขณะที่โจทก์ออกไปจำเลยที่1ไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและการที่จำเลยที่1คัดค้านการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการเข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทการที่โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกและห้ามจำเลยที่1เข้าเกี่ยวข้องจึงมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น ผู้จัดการมรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน หาญทะเล เมื่อ วันที่ 2 พฤษภาคม 2533 โจทก์ ได้ ยื่น คำขอ รับรอง การ ทำประโยชน์ใน ที่ดิน ตาม แบบ แจ้ง การ ครอบครอง ที่ดิน (ส.ค.1 ) เลขที่ 37 ซึ่ง เป็นทรัพย์มรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน ที่ สำนักงาน ที่ดิน อำเภอ เมือง สตูล คณะกรรมการ พิสูจน์ สอบสวน การ ทำประโยชน์ ใน ที่ดิน มี ความเห็น ว่าควร ดำเนินการ ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้ แก่ โจทก์ ได้ ต่อมาเมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2533 จำเลย ที่ 1 ได้ ยื่น คำขอ คัดค้าน การรังวัด ตรวจสอบ ที่ดิน การ ขอรับ รอง การ ทำประโยชน์ ของ โจทก์ โดย อ้างว่า จำเลย ที่ 1 ได้ ซื้อ ที่ดิน แปลง ดังกล่าว จาก นาย เจ๊ะหมัน และ ได้ ครอบครอง ทำประโยชน์ มา ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2521 โจทก์ ได้ตรวจ ดู หนังสือ สัญญาซื้อขาย ที่ดิน ปรากฏว่า เอกสาร ดังกล่าว เป็นเอกสารปลอม ต่อมา จำเลย ที่ 2 ซึ่ง เป็น นายอำเภอ เมือง สตูล มี หน้าที่ใน การ ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ตาม ประมวลกฎหมายที่ดินเห็นว่า คำขอ คัดค้าน ของ จำเลย ที่ 1 ฟังขึ้น ให้ โจทก์ ไป ดำเนินคดีการ ฟ้อง จำเลย ที่ 1 ภายใน กำหนด หก สิบ วัน นับแต่ วัน ทราบ คำสั่ง ขอให้พิพากษา ว่า ที่ดิน ตาม แบบ แจ้ง การ ครอบครอง ที่ดิน (ส.ค.1 ) เลขที่ 37เป็น ทรัพย์มรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน และ โจทก์ แต่ ผู้เดียว มีสิทธิ ยื่น คำขอ ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ดังกล่าว ได้ และห้าม ไม่ให้ จำเลย ที่ 1 เข้า มา เกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน และ ให้ จำเลย ที่ 1ไป ถอน คำขอ คัดค้าน การ รังวัด ตรวจสอบ ที่ดิน การ ขอรับ รอง การ ทำประโยชน์ใน ที่ดิน แปลง ดังกล่าว ณ สำนักงาน ที่ดิน อำเภอ เมือง สตูล ภายใน 7 วันนับแต่ วัน มี คำพิพากษา หาก จำเลย ที่ 1 ไม่ยอม ไป ดำเนินการ ดังกล่าวให้ ถือเอา คำพิพากษา ของ ศาล แทน การแสดง เจตนา ของ จำเลย ที่ 1 และ ให้จำเลย ที่ 2 ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ข้างต้นให้ แก่ โจทก์
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า นาย เจ๊ะหมัน ได้ ขาย ที่ดินพิพาท และ มอบ การ ครอบครอง ให้ จำเลย ที่ 1 แล้ว จำเลย ที่ 1 ได้ เข้า ทำประโยชน์ใน ที่ดินพิพาท เป็น เวลา เกินกว่า 10 ปี โจทก์ มา เรียกร้อง เอาคืนซึ่ง การ ครอบครอง เกินกว่า 1 ปี แล้ว ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ให้การ ว่า จำเลย ที่ 2 เห็นว่า หลักฐาน ของ จำเลยที่ 1 ดีกว่า โจทก์ จึง สั่ง ให้ โจทก์ ฟ้อง ต่อ ศาล ภายใน กำหนด หก สิบ วันและ จำเลย ที่ 2 ได้ สั่ง ไป โดย อาศัย อำนาจ ตาม ความใน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2497) ออก ตาม ความใน พระราชบัญญัติ ให้ ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2497 ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า ที่ดิน ตาม แบบ แจ้ง การ ครอบครอง ที่ดิน(ส.ค.1 ) เลขที่ 37 หมู่ ที่ 7 ตำบล เกาะสาหร่าย อำเภอ เมือง สตูล เนื้อที่ 50 ไร่ เป็น ทรัพย์มรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน ห้าม มิให้ จำเลย ที่ 1 เข้า เกี่ยวข้อง ให้ จำเลย ที่ 2 ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ใน ที่ดิน ดังกล่าว แก่ โจทก์ ใน ฐานะ เป็น ผู้จัดการมรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน ให้ยก ฟ้องโจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 2
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้ เป็น ว่า ไม่บังคับ ให้ จำเลย ที่ 2ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ นอกจากที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ของ ศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ส่วน ประเด็น ที่ จำเลย ที่ 1 ฎีกา ว่าโจทก์ ใน ฐานะ ผู้จัดการมรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน ไม่ได้ ฟ้อง เอาคืน ซึ่ง สิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาท เสีย ภายใน กำหนด เวลา 1 ปี โจทก์ จึง หมด สิทธิที่ จะ ฟ้อง เอาคืน ซึ่ง สิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท นั้น ได้ความ จากทางนำสืบ ของ โจทก์ ว่า เมื่อ นาย ดิเรก บุตร ของ จำเลย ที่ 1 ไป เจรจา ขอ ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก โจทก์ ใน ราคา 20,000 บาท และ ถูก โจทก์ ปฏิเสธไม่ ขาย นาย ดิเรก ได้ กล่าว คำ ขู่ โจทก์ เอาไว้ ว่า ถ้า ที่ดินพิพาท ยัง เป็น ของ โจทก์ อยู่ ก็ ต้อง เจอ กับ นาย ดิเรก ทำให้ โจทก์ เกิด ความ กลัว เพราะ นาย ดิเรก มี ประวัติ ไม่ เรียบร้อย โจทก์ จึง พา บุตร ของ โจทก์ 2 คน ไป อยู่ เสีย ที่ อำเภอ เมือง สตูล ใน ราว กลางเดือน พฤษภาคม 2533ซึ่ง ขณะ นั้น จำเลย ที่ 1 ไม่ได้ เข้า ไป ครอบครอง หรือ เกี่ยวข้อง กับที่ดิน แต่อย่างใด จำเลย ที่ 1 เพิ่ง จะ เข้า ไป เกี่ยวข้อง กับ ที่ดินพิพาท ด้วย การ คัดค้าน การ ที่ โจทก์ ร้องขอ ให้ ทางราชการ ออก หนังสือรับรอง การ ทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท เมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2533ซึ่ง เป็น ระยะเวลา หลังจาก ศาลชั้นต้น ได้ มี คำสั่ง แต่งตั้ง ให้ โจทก์เป็น ผู้จัดการมรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน แล้ว ดัง รายละเอียด ใน สำเนา คำขอ คัดค้าน การ รังวัด ตรวจสอบ ที่ดิน เอกสาร หมาย จ. 36 เมื่อ โจทก์กับ จำเลย ที่ 1 ตกลง กัน ไม่ได้ โจทก์ จึง ฟ้องคดี นี้ ภายใน กำหนด เวลา1 ปี นับแต่ โจทก์ ถูก จำเลย ที่ 1 คัดค้าน การ ขอให้ ทางราชการ ออก หนังสือรับรอง การ ทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท เกี่ยวกับ เรื่อง นี้ จำเลย ที่ 1นำสืบ และ กล่าว ใน ฎีกา ว่า โจทก์ พา บุตร ของ โจทก์ ทั้งหมด ออกจาก ที่ดินพิพาท ไป อยู่ ที่ อำเภอ เมือง สตูล เมื่อ ประมาณ เดือน มีนาคม 2533 การ นับระยะเวลา 1 ปี สำหรับ การ เรียกคืน ซึ่ง สิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาทควร นับ ตั้งแต่ วันที่ โจทก์ ออกจาก ที่ดินพิพาท คือ ตั้งแต่ เดือน มีนาคม2533 เป็นต้น ไป หาใช่ นับ จาก วันที่ จำเลย ที่ 1 คัดค้าน การ ขอ ออก หนังสือรับรอง การ ทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท ไม่ เห็นว่า การ ที่ โจทก์ ต้องออกจาก ที่ดินพิพาท ไป อยู่ ที่ อำเภอ เมือง สตูล ก็ เพราะ เกรงกลัว อิทธิพลของ นาย ดิเรก บุตร ของ จำเลย ที่ 1 การ ออกจาก ที่ดินพิพาท ของ โจทก์ ใน ครั้ง นั้น จึง เป็น การ ออก ไป เพื่อ หลีกเลี่ยง ภัย อันตราย ที่ อาจจะเกิดขึ้น แก่ โจทก์ และ บุตร ของ โจทก์ มิได้ ออก ไป โดย เจตนา สละ การ ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ ยัง แสดง เจตนา ยึดถือ ที่ดินพิพาท ด้วย การ ไป ร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดก ของ นาย เจ๊ะหมัน ต่อ ศาลชั้นต้น และ ด้วย การ ไป ร้องขอ ให้ ทางราชการ ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้ ใน เวลา ต่อมาหลังจาก ที่ โจทก์ ไป อยู่ ที่ อำเภอ เมือง สตูล แล้ว ทั้ง โจทก์ นำสืบ ว่าขณะที่ โจทก์ ออกจาก ที่ดินพิพาท ไป อยู่ ที่ อำเภอ เมือง สตูล จำเลย ที่ 1ไม่ได้ เข้า ครอบครอง ที่ดินพิพาท การ นับ ระยะเวลา การ แย่ง การครอบครอง จึง ไม่ได้ นับ จาก วันที่ โจทก์ ได้ ออกจาก ที่ดินพิพาท ดัง ที่จำเลย ที่ 1 ฎีกา และ การ ที่ จำเลย ที่ 1 ยื่น คำขอ คัดค้าน การ ขอ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อ เจ้าพนักงาน ที่ดิน อำเภอ เมือง สตูลเมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2533 โดย อ้างว่า ที่ดินพิพาท มิใช่ มรดกของ นาย เจ๊ะหมัน แต่ เป็น ที่ดิน ที่นาย เจ๊ะหมัน ได้ ขาย ให้ แก่ จำเลย ที่ 1 แล้ว ย่อม ถือไม่ได้ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ เข้า ไป แย่ง การครอบครอง ที่ดินพิพาท จึง มิใช่ เป็น การ ฟ้องคดี เพื่อ เอาคืน ซึ่ง การครอบครอง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ฎีกา ของจำเลย ที่ 1 ใน ประเด็น นี้ ฟังไม่ขึ้น เช่นกัน ”
พิพากษายืน

Share