คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้ามรดกใช้คำว่า “ขอทำพินัยกรรม” ตามความเข้าใจของสามัญชนทั่วไป ย่อมเข้าใจว่าเจตนาจะยกทรัพย์สมบัติให้เมื่อเจ้ามรดกตายแล้ว การยกทรัพย์ให้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ สามัญชนทั่วไปย่อมไม่ใช้คำว่า พินัยกรรม ทั้งเอกสารก็ไม่มีข้อความที่มุ่งแสดงไปในทางอื่น เช่น ตั้งใจยกทรัพย์ให้ตั้งแต่เจ้ามรดกมีชีวิตอยู่ ข้อความในเอกสารจึงแสดงเจตนาของเจ้ามรดกไปในทางเดียวว่า ให้ยกทรัพย์ให้แก่ผู้มีชื่อตามเอกสารเมื่อเจ้ามรดกตายแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงเข้าลักษณะพินัยกรรมตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายพูล วรอินทร์ ผู้วายชนม์ ตามสำเนาพินัยกรรมท้ายฟ้อง จำเลยที่ ๑ เป็นภริยานายพูล ย่อมได้รับส่วนแบ่งสินสมรส ๑ ใน ๓ เหลือสินสมรสของนายพูลเป็นมรดกได้แก่โจทก์ ๒ ใน ๓ ส่วน จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย แต่ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ มีส่วนได้รับมรดกด้วยบางส่วน โจทก์บอกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบทรัพย์ส่วนได้ของโจทก์ตามพินัยกรรม จำเลยไม่ยอม ขอให้ศาลพิพากษาให้ขายทอดตลาดสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ได้เงินแบ่งให้จำเลย ๑ ส่วน อีก ๒ ส่วน ให้ได้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำให้การสู้คดีหลายประการ
ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย เห็นว่าเอกสารหมาย จ.๑ ไม่มีข้อความเป็นการแสดงเจตนากำหนดเผื่อตายของนายพูล ไม่มีลักษณะเป็นพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๖ และ ๑๖๔๗ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารตามหมาย จ. ๑ แสดงชัดว่าเจ้ามรดกเจตนายกทรัพย์ให้โจทก์เมื่อเจ้ามรดกตาย จึงเป็นพินัยกรรมตามมาตรา ๑๖๔๖,๑๖๔๗ ซึ่งเจ้ามรดกทำขึ้นเองทั้งฉบับตามมาตรา ๑๖๕๗ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาประเด็นข้ออื่น แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
คดีได้ความว่า พินัยกรรมมีข้อความว่า
“เขียนที่กรุงเทพฯ
๓๐ กันยายน ๒๕๐๕
ขอทำพินัยกรรมทรัพย์สินของนายพูล วรอินทร์ ให้แก่นายต่าย นายไก่ ณะ บางช้าง ครึ่งหนึ่งส่วนของนายพูล วรอินทร์
พูล วรอินทร์
๓๐ กันยายน ๒๕๐๕”
ศาลฎีกาเห็นว่า โดยรูปแห่งเอกสารนี้ แสดงให้เห็นเจตนาของนายพูลว่าตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติส่วนของนายพูลครึ่งหนึ่งให้แก่นายต่ายนายไก่ ณ บางช้าง การที่นายพูลใช้คำว่า”ขอทำพินัยกรรม” ตามความเข้าใจของสามัญชนทั่วไปย่อมเข้าใจว่า เจตนาจะยกทรัพย์สมบัติให้เมื่อนายพูลตายแล้ว การยกทรัพย์ให้เมื่อมีชีวิตอยู่ สามัญชนทั่วไปย่อมไม่ใช้คำว่า พินัยกรรม ทั้งเอกสารหมาย จ.๑ นี้ไม่มีข้อความที่มุ่งแสดงไปในทางอื่น เช่น ตั้งใจยกทรัพย์ให้ตั้งแต่นายพูลยังมีชีวิตอยู่ ข้อความในเอกสารหมาย จ. ๑ นี้ แสดงเจตนาของนายพูลไปในทางเดียวว่า ให้ยกทรัพย์สมบัติให้แก่นายต่ายนายไก่เมื่อตายแล้ว อันเป็นการกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไว้ เอกสารหมาย จ.๑ จึงเข้าลักษณะพินัยกรรมตามกฎหมาย
พิพากษายืน.

Share