แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้รับฝากเช็คไปเบิกเงินแทนแม้เป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือก็มิใช่ผู้ทรง เป็นเพียงตัวแทนรับฝากเช็คไปเบิกเงินเท่านั้น
การคืนลาภมิควรได้ซึ่งเป็นเงินในกรณีที่รับไว้โดยสุจริตนั้น จะต้องคืนเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412 การคิดดอกเบี้ยจึงเริ่มคิดคำนวณตั้งแต่วันฟ้องซึ่งเป็นเวลาในขณะที่โจทก์เรียกคืนเป็นต้นไป.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คที่มีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมไปเบิกเงินจากธนาคารโจทก์ พนักงานโจทก์หลงเชื่อว่าเป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายได้สั่งจ่ายโดยแท้จริง จึงจ่ายเงินจำนวน50,000 บาทให้จำเลยที่ 1 ไป ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยกับค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ฝากเช็คฉบับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ช่วยเบิกเงินให้ จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2มีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้สั่งจ่ายจำเลยที่ 1 มอบเงินที่ธนาคารจ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ที่โจทก์ฎีกาว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายผู้ถือ จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ต้องนำเงินมาคืนให้โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีพันตำรวจโทบุญสาม โกมินทร์ สามีจำเลยที่ 1 มาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 2 ฝากเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 1 ไปเบิกเงินมาให้ เมื่อได้เงินมาแล้วก็มอบให้จำเลยที่ 2 ไป และนางประพันธ์ ธีระพงษ์ พยานโจทก์ยังเบิกความว่า จำเลยที่ 1 บอกพยานว่าเช็คดังกล่าวมีผู้ฝากให้มารับเงินแทน นอกจากนี้ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 37/2524 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์) ซึ่งจำเลยที่ 2 ถูกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับเช็คพิพาท จำเลยที่ 2 ก็เบิกความไว้ว่าได้ฝากเช็คให้จำเลยที่ 1ไปเบิกเงินมาจริงและได้รับเงินแล้ว จึงฟังได้ว่าจำเลยที่1 ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาท แต่เป็นเพียงตัวแทนรับฝากเช็คไปเบิกเงินแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้น…แม้จำเลยที่ 1 จะรับเงินไปจากโจทก์จริง แต่ก็ได้มอบเงินให้จำเลยที่ 2 ไปแล้ว จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้แก่โจทก์ … และตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์นับแต่รับไปโดยมิต้องคำนึงถึงว่ารู้หรือไม่รู้ เมื่อยังไม่คืนก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายนับแต่วันรับเงินไปเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์จะได้รับจากการให้กู้ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี และถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันรับเงินจากโจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันรับเงินอีกด้วย เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากนั้นยังไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 รับเงินจากโจทก์ไว้โดยไม่สุจริต จึงต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 2 รับเงินไว้โดยสุจริต การคืนลาภมิควรได้ซึ่งเป็นเงินในกรณีที่รับไว้โดยสุจริตประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412 บัญญัติว่า จะต้องคืนเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน การคิดดอกเบี้ยจึงเริ่มคิดคำนวณตั้งแต่วันฟ้องซึ่งเป็นเวลาในขณะที่โจทก์เรียกคืนเป็นต้นไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.