แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปลูกกัญชาจำนวน 10 ต้น กับมีกัญชาไว้ในความครอบครองจำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 1,100 กิโลกรัม โดยไม่ปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจปลูกกัญชาจำนวน ๑๐ ต้น กับมีกัญชาไว้ในความครอบครองซึ่งกัญชาจำนวน ๑ ถุง น้ำหนัก ๑,๑๐๐ กิโลกรัมโดยไม่รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลสลักใด อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกัญชาดังกล่าวเป็นของกลาง จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๖๓/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๕,๗๖, ๑๐๒, ๑๐๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๖๓/๒๕๒๖
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๖๓/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๔๓๘/๒๕๒๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒, ๑๐๓ ประกอบกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ เรียงกระทงลงโทษฐานผลิตกัญชาลงโทษจำคุก ๒ ปี ฐานมีกัญชาจำคุก ๒ เดือน รวมจำคุก ๒ ปี ๒ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๑ เดือน ริบของกลางนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๖๓/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๔๓๘/๒๕๒๖
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๕ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๒ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยมีกำหนด ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า การกระทำผิดของจำเลยเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันหรือเป็นกรรมเดียว ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้จากคำฟ้องจำเลยรับสารภาพว่า จำเลยปลูกกัญชาจำนวน ๑๐ ต้น กับมีกัญชาไว้ในความครอบครองจำนวน ๑ ถุง น้ำหนัก ๑,๑๐๐ กิโลกรัม โดยไม่ปรากฏว่ากัญชาที่มีไว้ในครอบครองคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูก จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรรมเดียวดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕/๒๕๒๔ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ๒ กรรมฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น