คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทเพียงอย่างเดียว แต่มีคำขอให้โอนที่ดินพิพาทและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้เงิน 520,001 บาท แก่โจทก์ด้วยดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทจาก ส. มาโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน และจำเลยที่ 2ยังไม่โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทต่อไปที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทก็ต้องกลับมาเป็นของ ส.ซึ่งเป็นมรดกตกได้แก่ทายาทจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของ ส. ก็ย่อมสามารถโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทแก่โจทก์ได้ แต่คดีนี้จำเลยที่ 2ได้โอนต่อไปยังจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันไม่สามารถเพิกถอนการโอนได้เสียแล้วการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมไม่สามารถทำได้อันเนื่องมาจากความผิดของจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมใช้เงิน 520,000 บาท แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่าง ส. และจำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนจึงเป็นการไม่ชอบ หนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าเป็นการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 288/98 และ 288/99 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3การที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่า ส.ตกลงขายที่ดินและอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว แต่ไม่สามารถโอนได้เพราะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 จะดำเนินคดีกับ ส.ส. จึงไปขอร้องจำเลยที่ 2 ให้จัดการโอนให้แก่จำเลยที่ 3เป็นการอธิบายให้เห็นว่าการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความเป็นมาอย่างไรเท่านั้น ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอน โดยมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และไม่มีคำส่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยมิได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ก็เป็นการไม่ชอบเช่นกันและเมื่อโจทก์ฎีกาและฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนกับนายสมศักดิ์ มิชซีร์ ก่อสร้างทาวน์เฮาส์แบ่งผลประโยชน์กันโดยโจทก์ลงทุนเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 23305 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน30 ตารางวา ส่วนนายสมศักดิ์ลงทุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารทาวน์เฮาส์รวม 11 ห้อง เมื่อก่อสร้างเสร็จโจทก์จะได้ส่วนแบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 7 ห้อง นายสมศักดิ์จะได้ส่วนแบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 4 ห้อง เมื่อก่อสร้างเสร็จนายสมศักดิ์ไม่โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์เลขที่ 288/98 จำนวน 1 ห้องที่เหลือให้แก่โจทก์ตามสัญญา แต่กลับโอนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับนายสมศักดิ์โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน การกระทำของนายสมศักดิ์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายสมศักดิ์ต้องเสียเปรียบ เป็นการร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ ต่อมานายสมศักดิ์ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ในฐานะภริยาและทายาทผู้ปกครองทรัพย์ของนายสมศักดิ์ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 41046 และทาวน์เฮาส์เลขที่ 288/98 หมู่ 1 ระหว่างนายสมศักดิ์ มิชซีร์ กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 กับให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 41046พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา หากโอนไม่ได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 520,000 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เมื่อนายสมศักดิ์ มิชซีร์ ก่อสร้างทาวน์เฮาส์เสร็จแล้ว ไม่สามารถโอนทาวน์เฮาส์ให้แก่จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นผู้ซื้อรายหนึ่งได้ จึงแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะโอนที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โจทก์ยินยอมนายสมศักดิ์จึงโอนที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และจ่ายเงินให้โจทก์ไปแล้ว 550,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาท เพราะได้โอนให้แก่นายสมศักดิ์ มิชซีร์ไปแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ทำเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ขึ้นเอง ลายมือชื่อนายสมศักดิ์ในเอกสารดังกล่าวปลอม จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และจำเลยที่ 3 เป็นลูกค้าของนายสมศักดิ์และจำเลยที่ 2 ซึ่งซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนกับจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินและทาวน์เฮาส์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 520,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์ มิชซีร์ ที่จำเลยที่ 1 จะได้รับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ทำสัญญาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับนายสมศักดิ์ มิชซีร์ ก่อสร้างทาวน์เฮาส์จำนวน 11 ห้อง โดยโจทก์ลงทุนที่ดินส่วนนายสมศักดิ์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและดำเนินการก่อสร้างเมื่อก่อสร้างเสร็จโจทก์ได้ส่วนแบ่งที่ดินและทาวน์เฮาส์ 7 ห้อง นายสมศักดิ์ได้ส่วนแบ่งที่ดินและทาวน์เฮาส์ 4 ห้อง หลังจากก่อสร้างเสร็จนายสมศักดิ์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้มอบที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทเลขที่ 288/98 ให้แก่โจทก์ โดยนำไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 และต่อมาจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 ส่วนที่ดินและทาวน์เฮาส์อีก 6 ห้อง โจทก์ได้รับส่วนแบ่งไปแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมโอนขายที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยที่ 3 เบิกความสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับสาเหตุที่นายสมศักดิ์เจรจาให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ยังมีพยานเอกสารคือสำเนาแคชเชียร์เช็คเอกสารหมาย ล.18มาแสดงประกอบว่าจำเลยที่ 3 ได้จ่ายเงินค่าทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทดังกล่าวจริง ส่วนโจทก์คงมีแต่คำเบิกความของโจทก์ที่กล่าวอ้างลอย ๆ ในลักษณะคาดการณ์ว่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนเท่านั้นพยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ พฤติการณ์น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 3 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทโดยสุจิรตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่า การจดทะเบียนโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่างนายสมศักดิ์และจำเลยที่ 2เป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนเป็นการไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทเพียงอย่างเดียว แต่มีคำขอให้โอนที่ดินพิพาทและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่โจทก์หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้เงิน 520,000 บาท แก่โจทก์ด้วยดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทจาก ส. โดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน และจำเลยที่ 2 ยังไม่โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทต่อไป ที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทก็ต้องกลับมาเป็นของ ส.ซึ่งเป็นมรดกตกได้แก่ทายาท จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทก็ย่อมสามารถโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทแก่โจทก์ได้แต่คดีนี้จำเลยที่ 2 ได้โอนต่อไปยังจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันไม่สามารถเพิกถอนการโอนได้ การโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมไม่สามารถทำได้อันเนื่องมาจากความผิดของจำเลยที่ 2 ดังนี้จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมใช้เงิน 520,000 บาท แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่าง ส. และจำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนและรับฟังว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานโจทก์ คดีรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทจากนายสมศักดิ์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่าจำเลยที่ 3 นำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.12 หรือไม่ เห็นว่าหนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าเป็นการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารเลขที่288/98 และ 288/99 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่า สง ตกลงขายที่ดินและอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แล้วแต่ไม่สามารถโอนได้เพราะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 จะดำเนินคดีกับ ส.ส. จึงไปขอร้องจำเลยที่ 2 ให้จัดการโอนให้แก่จำเลยที่ 3เป็นการอธิบายให้เห็นว่า การซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความเป็นมาอย่างไรเท่านั้นจึงไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารแต่อย่างใดแต่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอน โดยมิได้พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับไม่มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการไม่ชอบซึ่งศาลอุทธรณ์ก็มิได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ก็เป็นการไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share