แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกันแต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลยการที่จำเลยเข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา22ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว2เกวียนเป็นเงิน6,400บาทมิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่าต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่7ไร่2งานอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่าขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ6,400บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้แบ่งซื้อที่ดินจากนายวิศิษฐ์ วังตาล เนื้อที่ 10 ไร่ และได้แบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 17894 ตำบลสระพัฒนาอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมโจทก์ได้เข้าทำนาแปลงดังกล่าวของโจทก์กับเข้าทำนาในที่สาธารณะที่อยู่ปลายนาทางทิศเหนือซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งานและทำติดต่อกันจนบัดนี้เป็นเวลา 22 ปีแล้ว ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องได้ข้าวปีที่แล้วจำนวน 2 เกวียนราคาเกวียนละ 3,200 บาทเป็นเงิน 6,400 บาท เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้จำเลยทั้งสี่คนได้บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่สาธารณะที่โจทก์เคยทำมาก่อนโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ต้องขาดประโยชน์รายได้ในการทำนาเป็นเงิน 6,400 บาท ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เจ้าไปเกี่ยวข้องในที่สาธารณะที่โจทก์เคยทำมาก่อน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหาย 6,400 บาทในปี 2526 และปีต่อไปปีละ 6,400 บาท จนกว่าจำเลยจะเลิกเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าได้เช่าที่ดินผู้อื่นทำนาที่สาธารณะดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินที่จำเลยเช่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงมีสิทธิเข้าทำนาาในที่สาธารณะนั้น และมิได้เข้าทำประโยชน์ในส่วนของโจทก์ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย และตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากล่าวคือมิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสี่ผู้ใดเข้าไปแย่งไถนาหรือหว่านข้าวในส่วนไหนเนื้อที่เท่าใดในที่สาธารณะและโจทก์มิได้ระบุว่าโจทก์ลงทุนเท่าใดหักต้นทุนแล้วเสียหายเท่าใด จำเลยทั้งสามไม่อาจเข้าใจฟ้องของโจทก์และไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ในปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเห็นว่าแม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกันแต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว จำเลยทั้งสี่เข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลย การที่จำเลยทั้งสี่เข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้ ในปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้วเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้ว ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่าต่างคนต่างหาละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาท ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ พิพากษายกคำพิพากษาาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่