คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ไปขอรับโอนมรดกที่ดิน แล้วแบ่งขายให้แก่จำเลยที่ 2 อันเป็นทรัพย์มรดกของข.ซึ่งตกได้แก่โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีส่วนคนละกึ่งหนึ่งเมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมย่อมไม่ผูกพันส่วนของโจทก์ จำเลยที่ 1 ผู้โอนจึงไม่มีสิทธิที่จะโอนมาแก่จำเลยที่ 2 พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกของจำเลยที่ 1 และให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3โดยมิให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีราคา 200,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไข่ นางเก้บ พรหมจันทร์หรือแซ่เวา นายไข่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2532 มีทรัพย์มรดกคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 132 และที่ดินแปลงอื่นอีก 1 แปลง หลังจากนายไข่ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันครอบครองที่ดินมรดกตลอดมา วันที่10 มีนาคม 2532 จำเลยที่ 1 ยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของนายไข่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอ้างว่าเป็นทายาทของนายไข่คนเดียว ซึ่งเป็นความเท็จ ปกปิดความจริงในข้อที่ว่าโจทก์เป็นทายาทอีกคนหนึ่งด้วย เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกของนายไข่ให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่18 มิถุนายน 2532 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ออกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2047 ขายให้แก่จำเลยที่ 2 เนื้อที่ 200 ตารางวาโดยโจทก์ไม่ทราบ ทำให้โจทก์เสียเปรียบ วันที่ 17 ตุลาคม 2532จำเลยที่ 1 นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 132จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ไว้กับจำเลยที่ 3 โดยพนักงานของจำเลยที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่ดินมาด้วยการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้แสดงว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 132 ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2043 ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นมรดกของนายไข่ตกได้แก่โจทก์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกของจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนการขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2047 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ให้เพิกถอนสัญญาจำนองและการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลภายนอกรับจดทะเบียนจำนองที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนของทางราชการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษากลับว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่132 และ 2047 ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นมรดกได้แก่โจทก์กับจำเลยที่ 1คนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กัน ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกของจำเลยที่ 1 ในที่ดินดังกล่าว และเพิกถอนการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2047 ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 ไปขอรับโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 132 ตำบลตลิ่งงามอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 3 ไร่ 94 ตารางวาแล้วแบ่งขายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยแบ่งแยกออกเป็น น.ส.3 ก.เลขที่ 2047 เนื้อที่ 200 ตารางวา อันเป็นทรัพย์มรดกของนายไข่ซึ่งตกได้แก่โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีส่วนคนละกึ่งหนึ่งเมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวม ย่อมไม่ผูกพันส่วนของโจทก์ จำเลยที่ 1 ผู้โอนจึงไม่มีสิทธิที่จะโอนขายแก่จำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 2 ผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้โอน พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกของจำเลยที่ 1 และให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 2047 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียวฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยมิให้เพิกถอนการโอนที่ดินน.ส.3 ก.เลขที่ 2047 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่ 200 ตารางวา จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมาในชั้นฎีกามีจำนวนเท่าใด ในข้อนี้ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2ว่าได้ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1 ในราคา 200,000 บาทเมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เมื่อโจทก์ไม่นำนางอารี พรหมจันทร์ที่ลงชื่อตามเอกสารหมาย จ.8 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นคนละคนกับโจทก์มาเบิกความ ก็ต้องเชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกับโจทก์พยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ การที่จำเลยที่ 1 มีส่วนได้ที่ดินมรดกกับโจทก์คนละกึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับ1 ไร่ 2 งาน 47 ตารางวา การที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่2 เพียง 200 ตารางวา และจำเลยที่ 2 ได้มาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนย่อมไม่ทำให้โจทก์เสียประโยชน์แต่อย่างใด นั้นเห็นว่า ข้อฎีกาของจำเลยที่ 2 ล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 2

Share