คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดก ระหว่างผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยที่ 1และบรรดาพี่น้องคนอื่น ๆ แล้ว กรณีจึงต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสามและจำเลยที่ 1 ยังมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท โจทก์สามารถนำยึดมาชำระหนี้ได้ ผู้ร้องทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมด้วยห้องแถวไม้และตึกแถวที่ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 3343 และ 4191 เพื่อบังคับคดีต่อไป
ผู้ร้องทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องมีใจความทำนองเดียวกันว่าผู้ร้องทั้งสามได้ครอบครองทรัพย์ดังกล่าวเป็นสัดส่วนแยกจากกันติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี โดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์อีกด้วยขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่าผู้ร้องทั้งสามครอบครองทรัพย์ที่ยึดนั้นเป็นการครอบครองแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมคนอื่น จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ปล่อยทรัพย์พิพาทเฉพาะอาคาร 3 ชั้น8 คูหา ไม่มีเลขที่ ส่วนที่ปลูกบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3343 คืนให้แก่ผู้ร้องที่ 1 คำขออื่นทั้งสามสำนวนให้ยก ให้ผู้ร้องทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ 4,000 บาท
ผู้ร้องและโจทก์อุทธรณ์ทั้งสามสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามที่ผู้ร้องทั้งสามนำสืบว่าได้มีการแบ่งกันครอบครองทรัพย์มรดกของนายโชฮก ระหว่างผู้ร้องทั้งสาม จำเลยที่ 1 และบรรดาพี่น้องคนอื่น ๆ แล้วกรณีจึงต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสามและจำเลยที่ 1 ยังมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ดังกล่าวอยู่ ซึ่งโจทก์นำยึดมาชำระหนี้ได้
พิพากษายืน

Share