แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ตามข้อบังคับของโจทก์ข้อ 53 ระบุว่า หากผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความเสียหาย ผู้จัดการต้องรับผิดชอบด้วย แต่ในการแต่งตั้งจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่1 ขอรับหน้าที่เฉพาะงานนโยบายเท่านั้นซึ่งคณะกรรมการของโจทก์ตกลงยินยอมด้วย ส่วนการบริหารงานร้านโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารงานของโจทก์แต่ผู้เดียวตลอดมา ดังนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่บริหารงานของโจทก์ และการบริหารงานของจำเลยที่ 2 มิใช่การทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับข้อ 53 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงจะอาศัยข้อบังคับดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการของโจทก์ตามลำดับ จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการทั่วไปในบรรดากิจการค้าและการบริการของสหกรณ์ รวมทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของโจทก์ ทั้งมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจตราการรับจ่ายเงินของโจทก์ให้เป็นการถูกต้อง การปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ ๑ จะต้องกระทำตามข้อบังคับและระเบียบของโจทก์ตลอดจนมติของคณะกรรมการดำเนินการโดยเคร่งครัด และตามข้อบังคับของโจทก์ระบุว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใดให้ถือว่าผู้จัดการรับผิดชอบด้วยทุกประการ ระหว่างปฏิบัติงานจำเลยที่ ๒ ซึ่งดำเนินกิจการร้านโจทก์แทนจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินจากการขายสินค้า เงินค่าหุ้น เงินอื่น ๆ เข้าบัญชีในธนาคารของโจทก์ขาดไปรวมทั้งสิ้น ๒๗๒,๖๓๐.๓๒ บาทโดยจำเลยที่ ๒ ได้เบียดบังยักยอกเงินจำนวน ๒๗๒,๖๓๐.๓๒ บาท ดังกล่าวไปซึ่งเงินจำนวนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามกฎหมายและตามข้อบังคับของร้านโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำการยักยอกทรัพย์ของโจทก์ตามฟ้อง หลักฐานทางบัญชีเอกสารท้ายฟ้องไม่ตรงกับความจริงเพราะโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียว ที่โจทก์อ้างว่าเงินของโจทก์หายไปนั้นเป็นความเท็จ ความจริงเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้หายไป แต่เนื่องจากโจทก์ทำบัญชีไม่ตรงต่อความเป็นจริง อีกทั้งโจทก์ไม่เคยแจ้งเรื่องนี้ให้จำเลยทั้งสองทราบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๒๗๒,๖๓๐.๓๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ยกฟ้องจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการเลย การบริหารงานทุกอย่างจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งสิ้น จำเลยที่ ๑ ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ ทำแทน ที่ประชุมคณะกรรมการของโจทก์แต่งตั้งให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ให้อยู่ประจำช่วยเหลือปฏิบัติตลอดวัน ในการแต่งตั้งจำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้จัดการนั้น จำเลยที่ ๑ มีราชการมากจึงขอรับหน้าที่แต่เฉพาะงานนโยบายเท่านั้นคณะกรรมการก็ตกลงยินยอมด้วย จำเลยที่ ๒ บริหารงานของโจทก์แต่ผู้เดียวตลอดมา คณะกรรมการก็ทราบดีอยู่แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ในการบริหารงานของโจทก์ตามข้อบังคับร้านสหกรณ์กลาโหม จำกัด ข้อ ๕๐ การบริหารงานของจำเลยที่ ๒ จึงไม่ใช่การทำการแทนจำเลยที่ ๑ ตามข้อบังคับข้อ ๕๓ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์กลาโหม จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้เข้ามาใช้อำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับข้อ ๕๐ จำเลยที่ ๒ ใช้อำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ จะมอบอำนาจให้หรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ ๑ ก็ยังต้องมีความผูกพันตามข้อบังคับข้อ ๕๐ การบริหารงานของจำเลยที่ ๒ ต้องถือว่ากระทำแทนจำเลยที่ ๑ ตามข้อบังคับข้อ ๕๓ เมื่อจำเลยที่ ๒ ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดด้วยตามข้อบังคับข้อ ๕๓ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ใดจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดต่อผู้เสียหาย ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้กระทำหรือร่วมกระทำให้เกิดความเสียหายขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑กระทำละเมิดร่วมกับจำเลยที่ ๒ โจทก์จะอาศัยข้อบังคับของโจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่ เพราะข้อบังคับดังกล่าวมิใช่กฎหมาย จะให้มีผลบังคับดังเช่นกฎหมายไม่ได้ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.