คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271ดังนั้นหากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาแล้วขายทอดตลาดได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีกโจทก์จดแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มเติมเมื่อเกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้วไม่ได้ ปัญหาในชั้นนี้เป็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีโดยตรงว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271กำหนดไว้หรือไม่อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้บังคับแก่กรณีได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 294,729.06 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับจำนองยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ ครั้นวันที่ 20 มกราคม 2527 โจทก์ได้ขอบังคับคดีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 76962 ซึ่งเป็นที่ดินที่จำเลยที่ 1 จำนองเป็นประกันหนี้เดิมไว้ได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์จำนวน 351,475 บาทคงเหลือหนี้ตามคำพิพากษาอยู่อีก 170,882.96 บาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 34073 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวร่วมอยู่กับนายบำเพ็ญอีก 1 แปลงโจทก์จึงยื่นคำร้องขอบังคับคดีเพิ่มเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 233 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องขอให้บังคับตามคำพิพากษานั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการด้วยการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายในสิบปีนับแต่วันทีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271หากขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาแล้วได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีก โจทก์ก็จะแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหาได้ไม่มิฉะนั้นจะมีผลให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกบังคับคดีไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฎหมาย คดีนี้แม้โจทก์ได้บังคับคดีแก่ที่ดินจำนองของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์บางส่วนเมื่อวันที่24 กันยายน 2530 แล้วก็ตาม แต่โจทก์เพิ่งร้องขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพิ่มเติมเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2524 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป และปัญหาในข้อนี้เป็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีโดยตรงว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กำหนดไว้หรือไม่ อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้ปรับแก่กรณีได้
พิพากษายืน

Share