แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินค้ำประกัน จำนอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์โจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารในช่องผู้ค้ำประกันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่คืนก็ขอให้มีคำสั่งให้ทำลายเสียตามคำให้การที่ต่อสู้ว่าสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมนั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้แล้ว ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง สัญญาค้ำประกันย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2และที่ 3 เมื่อโจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาค้ำประกันมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ได้อีกต่อไป ย่อมไม่มีเหตุจำเป็นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะฟ้องแย้งขอให้บังคับคืนหรือทำลายหนังสือสัญญาค้ำประกันอีก ศาลจึงไม่รับฟ้องแย้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการส่งสินค้าออกและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ไว้กับโจทก์ รวม 7 ครั้ง เป็นเงิน 13,440,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะนำเงินที่ได้รับจากโจทก์ไปจัดซื้อสินค้าเพื่อเตรียมส่งสินค้าออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจะนำเอกสารการส่งสินค้ามอบให้แก่โจทก์เพื่อที่โจทก์จะได้นำเอกสารไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าของจำเลยที่ 1 ในต่างประเทศตามวิธีการของธนาคาร หากจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเอกสารการส่งสินค้าหรือไม่ชำระเงินคืนให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินคืนให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ปรากฏตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 ถึง 19 นอกจากนี้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำนองที่ดินโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เป็นเงิน 25,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันครั้งที่หนึ่งอีกเป็นเงิน 10,000,000 บาท รวมเป็นเงินจำนอง 35,000,000 บาทอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 ต่อปี โดยมีข้อตกลงว่า หากบังคับจำนองได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน จำเลยที่ 1 มิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนอง แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 17,594,519.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงิน 13,440,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยต้องห้ามตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์ และไม่ได้ทำสัญญาจำนองข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันหนี้ในไว้ต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ และเนื่องจากโจทก์นำสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 ที่จะต้องคืนให้แก่จำเลยที่ 2และที่ 3 มากรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารดังกล่าวที่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2และที่ 3 โดยไม่ได้รับความยินยอมจึงเป็นการนำเอกสารปลอมมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์คืนสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 และ 19 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่คืนขอให้ศาลมีคำพิพากษาทำลายเอกสารดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่ไม่รับฟ้องแย้ง เนื่องจากเป็นฟ้องแย้งที่ไม่จำเป็น คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามแพ้คดี
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาชั้นฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชอบหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินค้ำประกัน จำนอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การต่อสู้คดีมีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 ถึง 19 กับโจทก์ โจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 2และที่ 3 ในช่องผู้ค้ำประกันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ทำสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 และ 19 แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากโจทก์ไม่คืนก็ขอให้มีคำสั่งให้ทำลายเสีย ตามคำให้การดังกล่าวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การต่อสู้ว่าสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 17 และ 19 เป็นเอกสารปลอม ดังนั้นหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง สัญญาค้ำประกันย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาค้ำประกันมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ได้อีกต่อไป กรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จำเลยที่ 2และที่ 3 จะต้องฟ้องแย้งขอให้บังคับคืนหรือทำลายสัญญาค้ำประกันอีก ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน