คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของช. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) แล้วจำเลยเข้าไปปลุกผู้เสียหายให้ตื่น หลังจากนั้นจำเลยเดินไปที่เตียงนอนซึ่งผู้เสียหายนอนหลับอยู่ จำเลยกับผู้เสียหายและบิดามารดาของผู้เสียหายไม่รู้จักกันผู้เสียหายมีอายุถึง 14 ปีเศษ โดยทางสรีระ ถือว่าเป็นสาวแล้ว การที่จำเลยเข้าไปถึงเตียงนอน ของผู้เสียหายแล้วจับมือ จับแก้ม และลูบคางผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายสะบัดมือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของจำเลยจำเลยก็ไม่ยอมปล่อยมือ เช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร อย่างยิ่งและเป็นการล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหายอันถือได้ว่าเป็นการกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานของนายชุมพร พลเยี่ยมผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 โดยปกติสุข แล้วกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงน้ำทิพย์ พลเยี่ยม ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอายุไม่เกิน 15 ปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนทั้งสองข้างของผู้เสียหายที่ 2ดึงให้ลุกจากที่นอนแล้วลูบแก้มและคางของผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 2 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และไม่ยินยอมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3), 279 วรรคสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3), 279 วรรคสอง จำเลยกระทำผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 30,000 บาทรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมประพฤติจำเลยโดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด1 ปี ให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมงในกำหนด 1 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) เพียงบทเดียว ลงโทษจำคุก3 เดือนและปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า เมื่อวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของนายชุมพร พลเยี่ยม ผู้เสียหายที่ 1 อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) แล้วจำเลยเข้าไปปลุกผู้เสียหายที่ 1 ให้ตื่น หลังจากนั้นจำเลยเดินไปที่เตียงนอนซึ่งเด็กหญิงน้ำทพิย์ พลเยี่ยม ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมีอายุไม่เกิน15 ปี นอนหลับอยู่ เปิดมุ้งและจับมือของผู้เสียหายที่ 2 ทั้งสองข้างดึงให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับแก้มและลูบคางของผู้เสียหายที่ 2 พร้อมกับถามว่า จำครูได้ไหม ผู้เสียหายที่ 2ส่ายหน้าและตอบว่าจำไม่ได้ พร้อมกับสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุมของจำเลยแต่ไม่หลุด นางน้ำเงิน พลเยี่ยม ซึ่งเป็นภรรยาของผู้เสียหายที่ 1 และเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 2 ต้องเข้ามาใช้มือตีแขนจำเลย 1 ครั้ง จำเลยจึงปล่อยมือผู้เสียหายที่ 2 และกลับออกไป
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีเพียงประการเดียวว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 และบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2 ไม่รู้จักกันผู้เสียหายที่ 2 ก็มีอายุถึง 14 ปีเศษ โดยทางสรีระถือว่าเป็นสาวแล้ว การที่จำเลยเข้าไปถึงเตียงนอนของผู้เสียหายที่ 2 แล้วจับมือ จับแก้ม และลูบคางผู้เสียหายที่ 2เมื่อผู้เสียหายที่ 2 สะบัดมือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของจำเลยจำเลยก็ไม่ยอมปล่อยมือเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและเป็นการล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 2 อันถือได้ว่าเป็นการกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share