คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ประเด็นหย่าและสินสมรสบางรายการยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คงมีประเด็นชั้นฎีกาเพียงว่ามีข้อตกลงแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยอย่างไร บ้านและรถยนต์กระบะเป็นสินสมรสหรือไม่ จึงเป็นคดีที่พิพาทกันเรื่องสิทธิในครอบครัว แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 57,500 บาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันตามหลักกฎหมายอิสลามแล้วจำเลยไม่ยอมแบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 67,750บาท และไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่า ขอศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 67,750 บาท หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลกันเองหรือนำออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งปันกัน ขอศาลสั่งให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ 1,000 บาท จนกว่าบุตรทั้งสองจะเรียนสำเร็จชั้นอุดมศึกษา
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันและหย่าขาดจากกันตามหลักกฎหมายอิสลาม รายการทรัพย์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ลำดับ 1 และที่ 3 มิใช่สินสมรส โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งสินสมรสกันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสตามเอกสารหมาย จ.3แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลกันเองหรือนำสินสมรสดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งปันกันคนละครึ่ง หรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้ราคาสินสมรสเป็นเงิน 67,750 บาท ให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะตามหลักกฎหมายอิสลาม โดยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่เดือนถัดเดือนฟ้องเป็นต้นไปคำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย ส่วนคำขอที่ว่าหากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยถึงแก่กรรม นางตียาหวังหมัด มารดาจำเลยขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาตซึ่งเป็นการไม่ชอบจึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยถึงแก่กรรมนางตียาเป็นมารดาของจำเลยศาลฎีกาจึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางตียาเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่าได้มีข้อตกลงแบ่งสินสมรสกันอย่างไรระหว่างโจทก์จำเลยบ้านและรถยนต์กระบะตามฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่ ส่วนเรื่องหย่าและทรัพย์สินอื่นตามฟ้องที่เป็นสินสมรสจำเลยไม่ฎีกา จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีข้อตกลงแบ่งสินสมรสกันแล้วในขณะที่ทำพิธีหย่าตามหลักกฎหมายอิสลามและไม่อาจบังคับตามเอกสารหมาย จ.8 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบ้านพิพาทรถยนต์กระบะคันพิพาทเป็นสินสมรส คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share