คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ด. จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับเดิม) ในขณะที่ ด. มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 อยู่แล้ว การสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ด. จึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1490 และ 1445 (เดิม) โจทก์ที่ 1 จึงมิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด. ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของ ด. แม้การสมรสระหว่าง ด. กับโจทก์ที่ 1 จะยังไม่มีคำพิพากษาเพิกถอนหรือพิพากษาว่าเป็นโมฆะ แต่ศาลยกขึ้นวินิจฉัยว่าการสมรสเป็นโมฆะได้ เพราะจำเลยได้ต่อสู้เป็นประเด็นไว้
มรดกอยู่ระหว่างจัดการแบ่งให้ทายาท โจทก์ฟ้องคดีแม้จะเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย คดีก็ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
เอกสารมีข้อความว่า “บัดนี้ ว. ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลได้จัดการแบ่งมรดกตามที่ควรได้เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาทไว้เป็นที่เรียบร้อยซึ่งผู้รับได้รับไว้ถูกต้องทุกประการแล้ว และขอรับรองไว้ในหนังสือนี้ว่า ข้าพเจ้าหมดสิทธิในกองมรดกทั้งหมดด้วย” ซึ่งโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ลงชื่อไว้ก็ตาม แต่ผู้จัดการมรดกบอกในวันทำเอกสารว่าใครมารับเงินก็ต้องเซ็นชื่อ ในวันทำเอกสารนี้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ยังไม่ทราบว่ามีที่ดินเป็นทรัพย์มรดกเพราะผู้จัดการมรดกไม่เคยบอกให้ทราบ ทั้งเอกสารก็ไม่ได้ระบุชัดว่าโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องการที่ดินมรดกดังนั้นที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 รับรองว่าหมดสิทธิในกองมรดกด้วยซึ่งหมายความถึงเฉพาะเงินอันเป็นส่วนแบ่งบางส่วนของกองมรดกซึ่งโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ได้รับไปเท่านั้น โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ยังมีสิทธิรับที่ดินซึ่งเป็นมรดก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นบุตรของนายเดือนอันเกิดจากโจทก์ที่ ๑ (ภริยาคนที่ ๓) จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรของนายเดือน เกิดจากนางอารีย์ ซึ่งเป็นสามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ (ภริยาคนที่ ๒) จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายเดือนด้วย จำเลยที่ ๕ เป็นบุตรของนายเดือนอันเกิดจากนางเขียน (ภริยาคนที่ ๑) ซึ่งอยู่กินกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ นางเขียนและนางอารีย์ได้ทิ้งร้างกับนายเดือนมานานแล้ว นายเดือนถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม นางวันน้องผู้ตายได้ยื่นขอเข้าเป็นผู้จัดการมรดก แต่นางวันได้ถึงแก่กรรมไปโดยยังจัดการมรดกไม่เสร็จ จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเดือนต่อไปในการยื่นคำร้องนี้ จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันปกปิดความจริงโดยมิได้ระบุชื่อโจทก์ทั้งสามลงในบัญชีเครือญาติ ทั้งที่จำเลยทั้งห้ารู้ดีแล้วว่าโจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของนายเดือนในฐานะทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายนายเดือนมีทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราเนื้อที่ประมาณ ๑๐๑ ไร่ ๑ งาน ๖๔ ตารางวา ที่ดินตำบลบางลำภูล่าง เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่เศษ แล้วจำเลยที่ ๑ นำที่ดินมรดกโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ไปจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นโฉนดย่อย ๕ โฉนด โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้า การกระทำของจำเลยทั้งห้าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นโฉนดย่อย และเพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินโฉนดย่อย ซึ่งได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ให้โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๕๗ ไร่ ๙๔.๗ ตารางวา ให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ จำนวนคนละ ๖ ไร่ ๒ งาน ๑๒.๗ ตารางวา
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในทรัพย์พิพาท เพราะทรัพย์พิพาทเป็นสินเดิมของนายเดือน นางอารีย์มารดาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้อยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมาจนกระทั่งนายเดือนถึงแก่กรรมการสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับนายเดือนตกเป็นโมฆะเพราะนายเดือนมีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ได้ทำหนังสือสละมรดกแล้ว นางวันผู้จัดการมรดกนายเดือนได้แบ่งปันมรดกทรัพย์พิพาทให้จำเลยแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ทรัพย์พิพาทโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ต่อมานายวันถึงแก่กรรมยังไม่ทันแบ่งแยกที่ดินให้จำเลย จำเลยที่ ๑ จึงได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อเพื่อจัดการแบ่งแยกโฉนดให้แก่จำเลยอื่นฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๕๕ แล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๕ เพราะจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายเดือนตามคำสั่งศาลแบ่งให้ในฐานะจำเลยที่ ๕ เป็นทายาทกองมรดกโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นภริยาและบุตรอันชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนเพราะนางเขียนมารดาจำเลยที่ ๕ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และมิได้เลิกร้างกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางเขียนและนางอารีย์ เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนเจ้ามรดก และสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๕ นายเดือนได้รับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ก่อนที่โจทก์ที่ ๑ จะสมรสกับนายเดือนที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ จึงเป็นสินส่วนตัวของนายเดือน โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งเป็นทายาทชั้นบุตร ๑ ใน ๑๐ ส่วน เป็นเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๕๖.๔ ตารางวา ส่วนโจทก์ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนมีสิทธิรับมรดกด้วยหนังสือสละมรดก หาเป็นสัญญาประนีประนอมหรือเป็นหนังสือสละมรดกไม่ โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินคนละ ๑ ใน ๑๐ ส่วน เป็นเนื้อที่คนละ ๑๐ ไร่ ๕๖.๔ ตารางวา มรดกของผู้ตายอยู่ระหว่างจัดการมรดก คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราแล้วให้รวมเข้าเป็นโฉนดใหญ่ให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งมรดกคนละ ๑๐ ไร่ ๕๖.๔ ตารางวา
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การสมรสระหว่างนายเดือนกับโจทก์ที่ ๑ ยังมิได้ถูกเพิกถอนโดยคำพิพากษาของศาลหรือศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะ โจทก์ที่ ๑ จึงเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนหนังสือสละมรดกของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้นำมอบไว้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เป็นหนังสือแสดงเจตนาสละมรดก แต่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๐ มีผลเป็นการแบ่งมรดกตามมาตรา ๑๗๕๐ วรรคสอง โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ จึงหมดสิทธิรับมรดก คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับส่วนเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๕๖.๔ ตารางวา ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนนายเดือนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับเดิม) นายเดือนมีภริยาคือนางเขียนมารดาจำเลยที่ ๕ และนางอารีย์มารดาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ โดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ การสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับนายเดือนจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๐และ ๑๔๔๕ (เดิม) เพราะนายเดือนเป็นสามีของนางเขียนและนางอารีย์อยู่ก่อนแล้วโจทก์ที่ ๑ จึงมิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเดือน ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนายเดือน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ ๑ ยังมิได้ถูกเพิกถอนโดยคำพิพากษาของศาลหรือศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะ โจทก์ที่ ๑ ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อ้างว่าการสมรสเป็นโมฆะไม่ได้นั้นเห็นว่าศาลยกขึ้นวินิจฉัยว่าการสมรสเป็นโมฆะได้ เพราะจำเลยได้ต่อสู้เป็นประเด็นไว้แล้ว
มรดกรายนี้อยู่ระหว่างจัดการแบ่งให้แก่ทายาท จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกต่อจากนางวันผู้จัดการมรดกคนก่อนซึ่งถึงแก่กรรม และปกครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น ต่อมาจำเลยที่ ๑ โอนทรัพย์มรดกตามฟ้องไปเป็นของจำเลยทั้งห้า โจทก์ฟ้องคดีนี้แม้จะเกิน ๑ ปี นับแต่นายเดือนเจ้ามรดกตายคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔
ส่วนที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิรับมรดกอยู่เพราะหนังสือสละมรดกไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลฎีกาเชื่อว่าในวันทำหนังสือดังกล่าวโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ทราบว่ามีที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกเพราะนางวันผู้จัดการมรดกไม่เคยบอกให้ทราบ หนังสือนั้นมีข้อความว่า “บัดนี้นางวันคณิตวิจารณ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ได้จัดการแบ่งมรดกตามที่ควรได้เป็นจำนวนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ไว้เป็นที่เรียบร้อยซึ่งผู้รับได้รับไว้ถูกต้องทุกประการแล้ว และขอรับรองไว้ในหนังสือนี้ว่าข้าพเจ้าหมดสิทธิในกองมรดกทั้งหมดด้วย” ก็มิได้ระบุไว้ชัดว่าโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ต้องการที่ดินมรดก ฉะนั้น ที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ รับรองว่าหมดสิทธิในกองมรดกด้วยจึงหมายถึงเฉพาะเงินอันเป็นส่วนแบ่งบางส่วนของกองมรดกซึ่งโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ได้รับไปเท่านั้น และไม่เกี่ยวกับกองทรัพย์มรดกรายพิพาทนี้หนังสือดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาท โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ยังมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่จำเลยทั้งห้าแบ่งแยกไปแล้วให้รวมเข้าเป็นโฉนดเดิม ให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๘ ให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ได้รับส่วนแบ่งมรดกคนละ ๑๐ ไร่ ๕๖.๔ ตารางวา ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑

Share