แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักกิจการญวนจังหวัดนครพนมซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ว่าโจทก์มิใช่คนสัญชาติไทยแต่เป็นคนสัญชาติญวนและสั่งให้โจทก์ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพแม้สำนักกิจการญวนจังหวัดนครพนมจะมิใช่นิติบุคคลโจทก์ก็ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ครองตำแหน่งดังกล่าวซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55 โจทก์ที่2ถึงที่7เกิดในราชอาณาจักรไทยและมีมารดาคือโจทก์ที่1ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยโจทก์ที่2ถึงที่7จึงเป็นคนมีสัญชาติไทยการที่ต.คนสัญชาติญวนเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่2ถึงที่7และโจทก์ที่2ถึงที่7แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ให้จดแจ้งชื่อโจทก์ที่2ถึงที่7ในทะเบียนบ้านญวนอพยพตามคำสั่งจำเลยมิใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ที่2ถึงที่7มิใช่คนสัญชาติไทยการที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ที่2ถึงที่7แจ้งชื่อให้เจ้าหน้าที่จดแจ้งในทะเบียนบ้านญวนอพยพและให้ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่2ถึงที่7ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุคคลเชื้อชาติไทย สัญชาติไทยมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โจทก์ที่ 1 แต่งงานกับนายตี๋ หรือเตืองตรั่น โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน เกิดบุตรด้วยกัน 6 คน คือโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนจังหวัดนครพนมมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพกับนายทะเบียนญวนอพยพอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมโดยกล่าวหาว่าเป็นคนญวนอพยพ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 เป็นคนมีสัญชาติไทย และถอนชื่อโจทก์ทั้งเจ็ดออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนจำเลยปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบและคำสั่งของทางราชการ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ไม่ได้สัญชาติไทย หากได้สัญชาติไทยก็ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 แล้ว โจทก์ทุกคนมีชื่อในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพและทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ ถือได้ว่าสละสัญชาติไทย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นคนสัญชาติไทยโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 และไม่ได้สละสัญชาติไทย การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพและจดแจ้งชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านญวนอพยพเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 แต่เนื่องจากไม่ปรากฏชื่อโจทก์ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ในทะเบียนบ้านญวนอพยพ จึงไม่อาจบังคับจำเลยให้ถอนชื่อตามที่ขอ การที่โจทก์ที่ 1 มีชื่อในทะเบียนบ้านญวนอพยพโดยระบุว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคนไทยไม่กระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่ 1 พิพากษาว่า โจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ถอนชื่อโจทก์ที่ 2 ที่ 6 ที่ 7 ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนจังหวัดนครพนม ไม่ใช่หัวหน้าส่วนราชการของจังหวัด กรมหรือกระทรวงใด สำนักงานกิจการญวนจังหวัดนครพนมไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนจังหวัดนครหนม ซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ว่า โจทก์มิใช่คนสัญชาติไทย แต่เป็นคนสัญชาติญวน และสั่งให้โจทก์ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ แม้สำนักงานกิจการญวนจังหวัดนครพนมจะมิใช่นิติบุคคล โจทก์ก็ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ครองตำแหน่งดังกล่าวซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์ที่ 1มีบิดามารดาชื่อตายเตี๋ยน นางเถิง มิใช่ชื่อนายถัก นางปัด โจทก์ที่ 1 มิได้เกิดในราชอาณาจักรไทย และเป็นคนมีสัญชาติญวน โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 มีบิดาชื่อนายตี ตรั่นมิใช่ชื่อนายตี๋หรือเตือง ตรั่น คนสัญชาติญวน และโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 ก็มีสัญชาติญวน อีกทั้งโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 มิได้เกิดในราชอาณาจักรไทย โจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 เป็นคนสัญชาติญวนเช่นเดียวกัน การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 1 นายดี แสงสุวรรณซึ่งเป็นพี่ร่วมบิดามารดากับโจทก์ที่ 1 และนายคำบ่อ แสงสุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่าโจทก์ที่ 1 มีบิดามารดาชื่อนายถัก นางปัด โจทก์ที่ 1 และบิดามารดาเกิดที่บ้านทู้ ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นคนมีสัญชาติไทย โจทก์ที่ 1 แต่งงานกับนายตี๋คนสัญชาติญวนโดยมิได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 9 คน รวมทั้งโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 ด้วย นอกจากนี้ตามทะเบียนบ้านก็ระบุว่าโจทก์ที่ 1 มีสัญชาติไทย อีกทั้งโจทก์ที่ 1มีบัตรประจำตัวประชาชนแสดงว่าเป็นคนไทย แม้ในทะเบียนบ้านญวนอพยพซึ่งมีชื่อโจทก์ที่ 1 อยู่ด้วยก็ระบุว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคนไทยเช่นเดียวกันตามพยานหลักฐานดังกล่าวจึงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เกิดในราชอาณาจักรไทย และเป็นคนมีสัญชาติไทย ส่วนโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 ซึ่งจำเลยฎีกาว่ามิได้เกิดในราชอาณาจักรไทย และมีบิดาเป็นคนสัญชาติญวนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จึงเป็นคนมีสัญชาติญวนนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 เป็นคนมีสัญชาติไทย โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 เกิดในราชอาณาจักรไทย และทะเบียนบ้านระบุว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 มีสัญชาติไทย ดังนี้ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จึงเป็นคนมีสัญชาติไทยการที่นายตี๋หรือเตืองคนสัญชาติญวนเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 และโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ให้จดแจ้งชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ในทะเบียนบ้านญวนอพยพตามคำสั่งของจำเลยนั้น มิใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 มิใช่คนสัญชาติไทยแต่อย่างใด การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 แจ้งชื่อให้เจ้าหน้าที่จดแจ้งในทะเบียนบ้านญวนอพยพและให้ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทย พิพากษายืน