คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เทศบาลตำบลโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีนายกเทศมนตรีเป็นผู้แทนนิติบุคคลมีอำนาจกระทำกิจการแทนโจทก์ การที่ ว. ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีมอบอำนาจให้ทนายความฟ้องจำเลยซึ่งบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามบทบัญญัติของกฎหมาย จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของนายกเทศมนตรีเพื่อประโยชน์ของโจทก์และเป็นการดำเนินการของฝ่ายบริหาร โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากสภาเทศบาล โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ฟ้องขับไล่ขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและขนย้ายสัมภาระสิ่งของออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทเกินกว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ตามฟ้องและฟ้องแย้งราคาที่ดินพิพาทไม่เกิน 200,000 บาท และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นราชการส่วนท้องถิ่น เป็นทบวงการเมือง มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำรวมทั้งรักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดินหรือที่สาธารณะ โจทก์มีคณะเทศมนตรีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของโจทก์ โดยมีนายกเทศมนตรีตำบลปากท่อเป็นหัวหน้า นายวิชาญดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลปากท่อ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11864 ตำบลปากท่อ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 8 ตารางวาโดยได้รับการอุทิศยกให้จากนายอรรถพลหรือวิชัยเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของโจทก์ หลังจากโจทก์ได้รับการอุทิศที่ดินดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้ทำการก่อสร้างขยายเป็นถนนสาธารณประโยชน์ด้ายทิศเหนือของที่ดินโจทก์เข้ามาบริเวณที่ดินเต็มพื้นที่เพื่อใช้เป็นสถานที่จอดรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่เดินทางมาตลาดสด หลังจากโจทก์ได้ก่อสร้างขยายเป็นถนนสาธารณประโยชน์ด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์เข้ามาบริเวณที่ดินเต็มพื้นที่เพื่อใช้เป็นสถานที่จอดรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่เดินทางมาตลาดสด หลังจากโจทก์ได้ก่อสร้างขยายทางสาธารณประโยชน์เป็นสถานที่จอดรถจักรยานยนต์ของประชาชนทั่วไปแล้ว ระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม 2542 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 11864 ดังกล่าวเต็มพื้นที่ ด้วยการก่อสร้างคันปูนขนาดกว้างประมาณ .50 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร แล้วนำลังไม้ ลังเหล็กบรรจุสิ่งของ และนำสินค้าประเภทต่าง ๆ มาวางไว้ โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถจัดสถานที่ให้ประชาชนใช้เป็นสถานที่จอดรถจักรยานยนต์ได้ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและเก็บสินค้าออกจากที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือและเพิกเฉยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวออกจากที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและขนย้ายสัมภาระสิ่งของออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11864 ตำบลปากท่อ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวอีก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ยังไม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสมาชิกสภาเทศบาลตำบลปากท่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลย จำเลยซื้ออาคารพาณิชย์เลขที่ 526/13-14 พร้อมที่ดินจากนายอรรถพล ที่ดินพิพาทดังกล่าวอยู่ทางด้านทิศเหนือของอาคารพาณิชย์ที่จำเลยซื้อ จำเลยได้จ่ายเงิน 100,000 บาท ให้แก่นายอรรถพลเป็นค่าใช้ที่ดินพิพาท ต่อมาเดือนสิงหาคม 2532 จำเลยและบริวารเข้าอยู่อาศัยขายสินค้าต่าง ๆ ในอาคารพาณิชย์พร้อมทั้งใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยการจัดเรียงสินค้าของจำเลยเพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้ามาโดยตลอด จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผย และไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ นายอรรถพลไม่มีสิทธิยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามโจทก์เข้ามาเกี่ยวข้องและให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายอรรถพลไม่เคยตกลงให้จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อปี 2533 นายอรรถพลนำที่ดินพิพาทมาใช้ประโยชน์สำหรับจอดรถจักรยานยนต์ที่มาซื้อของที่ตลาดโดยเก็บค่าเช่าจอดรถและได้ให้ผู้อื่นเข้ามาจำหน่ายสุกรอยู่ในที่ดินพิพาท จนกระทั่งปี 2539 จำเลยจึงเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวยังไม่ถึง 10 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายสัมภาระสิ่งของออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11864 ตำบลปากท่อ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์เป็นราชการส่วนท้องถิ่น เป็นทบวงการเมือง มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ รวมทั้งรักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดินเรือหรือที่สาธารณะ โจทก์มีคณะเทศมนตรีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของโจทก์ โดยมีนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปากท่อเป็นหัวหน้า นายวิชาญเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปากท่อ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นผู้แทนนิติบุคคลมีอำนาจกระทำกิจการแทนโจทก์ ดังนั้นการที่นายวิชาญซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีมอบอำนาจให้ทนายความฟ้องจำเลยซึ่งบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามบทบัญญัติของกฎหมาย จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของนายกเทศมนตรีเพื่อประโยชน์ของโจทก์และเป็นการดำเนินการของฝ่ายบริหาร โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากสภาเทศบาลแต่ประการใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและขนย้ายสัมภาระสิ่งของออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทเกินกว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ตามฟ้องและฟ้องแย้งราคาที่ดินพิพาทไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้รับรองให้ฎีกาหรือประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้อนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้มาเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share