คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปี ส. ลูกหนี้ซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ด ขาดแล้วแต่ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ย่อมต้องมีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ หนี้ค่าภาษีที่พิพาทเป็นหนี้ค่าภาษีที่เกิดขึ้นภายหลังที่ ส. ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้วส. จึงไม่สามารถจัดการโดยตนเองได้ จะต้องดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 22 เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายหลังจากถูกพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับภาษีรายนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้รับผิดได้ส่วนโจทก์จะได้รับชำระหนี้อย่างไร เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีไม่ใช่เป็นกรณีที่จะนำมาอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายสมบูรณ์เมฆเสรีกุล ลูกหนี้ล้มละลาย นายสมบูรณ์มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2529-2531 แต่นายสมบูรณ์มิได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงได้ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2529-2531ในอัตราภาษีไร่ละ 2,495 บาท คิดเป็นภาษีปีละ 4,908.60 บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2529-2531 รวม 3 ปี คิดเป็นเงิน 14,725.80 บาท แต่นายสมบูรณ์ถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2527 โดยมีจำเลยเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยจึงมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินและเสียภาษีบำรุงท้องที่ แต่จำเลยก็หาได้ทำตามหน้าที่ดังกล่าวไม่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงแจ้งการประเมินภาษีดังกล่าวให้จำเลยทราบเพื่อให้เสียภาษีบำรุงท้องที่ของลูกหนี้ผู้ล้มละลาย และเงินเพิ่มตามกฎหมายให้แก่โจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแบบแจ้งการประเมิน จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ยอมเสียภาษีดังกล่าวให้แก่โจทก์ และมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินของโจทก์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจำเลยจึงต้องรับผิดเสียภาษีอากรและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น22,383.22 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินภาษีบำรุงท้องที่และเงินเพิ่มจำนวน 22,383.22 บาทแแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ6 ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่ค้างชำระของแต่ละเดือนนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2532 ถัดจากเดือนฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายสมบูรณ์ เมฆเสรีกุล ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2527 และได้ประกาศโฆษณาคำสั่งดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 19 มีนาคม 2528 ครบกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้วันที่ 20 พฤษภาคม 2528 ปรากฏว่าโจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้หนี้ภาษีบำรุงท้องที่ตามฟ้องเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายสมบูรณ์ลูกหนี้ไว้เด็ดขาดแล้ว ดังนั้น มูลหนี้ดังกล่าวจึงไม่อาจขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของนายสมบูรณ์ได้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอากับลูกหนี้โดยตรงหลังจากลูกหนี้ได้หลุดพ้นจากการล้มละลายแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องนำเงินค่าภาษีไปชำระให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินเพิ่มจำนวน 7,657.42 บาท ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 22,383.22 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ของเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่ค้างชำระของแต่ละปีนับแต่เดือนกรกฎาคม 2532เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า หนี้ค่าภาษีรายนี้เป็นค่าภาษีบำรุงท้องที่ปี พ.ศ. 2529, 2530 และ 2531การประเมินของเจ้าพนักงานชอบด้วยกฎหมาย นายสมบูรณ์ เมฆเสรีกุลผู้มีหน้าที่เสียภาษีถูกฟ้องล้มละลายศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2527 ตามคดีหมายเลขแดงที่ล.325/2527 ของศาลแพ่ง และได้ประกาศหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่11 มีนาคม 2528 ประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2528โจทก์ฟ้องหลังจากศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายสมบูรณ์ เมฆเสรีกุลเด็ดขาดแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าของที่ดินในวันที่ 1 มกราคมของปีใด มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปีนั้น ฉะนั้น ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปี สำหรับภาษีที่พิพาทคดีนี้เป็นหนี้ค่าภาษีที่ได้เกิดขึ้นภายหลังที่นายสมบูรณ์ เมฆเสรีกุล ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว การที่โจทก์จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติล้มละลายฯ กำหนดไว้ย่อมทำไม่ได้แต่การที่นายสมบูรณ์เมฆเสรีกุล ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว แต่ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ในระหว่างนั้น ย่อมจะต้องมีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ เพียงแต่การพิทักษ์ทรัพย์ทำให้ไม่สามารถจัดการทรัพย์สินโดยตนเองได้จะต้องดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 ในพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติห้ามฟ้องเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายหลังจากถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่สามารถขอรับชำระได้ตามมาตรา 94 การเกิดหนี้ขึ้นโดยผลของกฎหมายเช่นนี้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการแทนนายสมบูรณ์ เมฆเสรีกุลเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับภาษีรายนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้รับผิดได้ส่วนโจทก์จะได้รับชำระหนี้อย่างไร เป็นเรื่องชั้นบังคับคดี ไม่ใช่เป็นกรณีที่จะนำมาอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง…”
พิพากษายืน.

Share