แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำร้องของจำเลยที่อ้างเหตุผลว่าไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด เพิ่งจะได้เงินมาหลังจากพ้นระยะเวลาที่ศาลกำหนดไปแล้วนั้น หาใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัยไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้เป็นคดีเดียวกัน โดยจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับหนึ่งและโจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรรวมพิพากษาไปด้วยกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ย 124,345.92 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 110,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า หนังสือสัญญากู้ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 110,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวมสองศาลเป็นเงิน 3,000 บาท
จำเลยฎีกาแก้ไขฎีกาและยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน โดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2529 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2529 ขออนุญาตศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมต่อศาลภายในวันที่ 22 กรกฎาคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตซึ่งต่อมาจำเลยได้ชำระเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน3,107.50 บาทต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 22 กรกฎาคม 2529 และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย โจทก์ยื่นคำแถลงลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2529อ้างว่าจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด15 วันนับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2529 จึงถือว่าคดีไม่มีการฎีกาและคดีถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาได้ในวันนี้แล้วให้ยกคำแถลงของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาเกี่ยวกับฎีกาของโจทก์ซึ่งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้รับฎีกาของจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2529จำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในกำหนดดังกล่าวและมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาตามที่ศาลได้กำหนดไว้ขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น การที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่18 กรกฎาคม 2529 จึงล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้มาแล้วนั้น มีบทบัญญัติมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดไว้ว่าจะกระทำได้เฉพาะแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวที่อ้างเหตุผลว่าไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด เพิ่งจะได้เงินมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2529นั้นหาใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัยไม่ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการขัดต่อมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับฎีกาจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้รับฎีกาของจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และโดยเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลย”
พิพากษากลับให้ยกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมอื่น ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในชั้นฎีกาให้เป็นพับ