คำสั่งคำร้องที่ 2240-2241/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายมานั้น ก็เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกา จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงเช่นกัน ฎีกาโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าเช็คตามเอกสารหมาย จ.1 ทั้งสองสำนวนถือไม่ได้ว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน ทั้งจำเลยก็ได้เบิกความยอมรับแล้วว่า การที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คนั้นไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงิน จึงถือไม่ได้ว่าคดีนี้เป็นการกู้ยืมเงินกันตามที่ศาลเข้าใจ ดังนั้น ที่จำเลยต่อสู้เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและมีการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน จึงไม่ถูกต้อง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ทนายจำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 122)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกัน โจทก์ฟ้องเป็นทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องคดีทั้งสองสำนวนแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา และต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 116)

คำสั่ง
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทสำนวนแรกโจทก์และจำเลยต่างมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ส่วนเช็คพิพาทสำนวนหลังเป็นค่าดอกเบี้ยของเช็คพิพาทสำนวนแรกที่เรียกเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การที่โจทก์ฎีกาว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คค้ำประกัน และไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ผลประโยชน์ที่จำเลยตกลงให้ก็เป็นค่าตอบแทนไม่ใช่ดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าการกู้ยืมกับหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นต่างกันเนื่องจากการกู้ยืมอาจจะไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมก็เป็นได้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการโต้เถียงในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share