คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยา มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่ไปติดต่อค้าขายซื้อสินค้าจาก ผ. ที่จังหวัดแพร่ ในการไปซื้อสินค้านี้โจทก์พักอยู่ที่บ้าน ผ. บางครั้งจำเลยที่ 1ไปพักด้วย ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีชู้และแยกกันอยู่ โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่ที่บ้านเดิมที่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง ที่บ้าน ว. บ้าง ดังนี้แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาที่จะถือเอาบ้านที่พักอยู่ที่จังหวัดแพร่เป็นถิ่นที่อยู่ไม่
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดีโดยมิได้ขออนุญาตฟ้องต่อศาลนั้นไม่ได้
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยระบุตามคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดี เมื่อจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล ดังนี้ การที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่าจะได้ชี้ขาดในปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษาจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีแต่ประการใดหากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์มีชู้โดยร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับโจทก์หย่ากัน และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทดแทน พร้อมกับดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยไม่เคยเป็นชู้ร่วมประเวณีกัน ค่าทดแทนที่เรียกร้องมากเกินไป หากโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้หย่ากันโดยภริยามีชู้โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลโดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดแพร่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวในคำพิพากษาและดำเนินการสืบพยานต่อมาจนเสร็จสำนวน แล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดแพร่ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างมีภูมิลำเนาอยู่ตำบลมีนบุรี อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร ประกอบอาชีพค้าไม้แปรรูปกับโต๊ะเก้าอี้นักเรียน โดยติดต่อซื้อสินค้าดังกล่าวจากนายผ่อง จารเขียน คนตำบลเด่นชัยจังหวัดแพร่ ในการติดต่อค้าขายกับนายผ่องนี้ โจทก์ไปพักที่บ้านนายผ่องบางครั้งจำเลยที่ 1 ไปพักอยู่ด้วย ต่อมาโจทก์ถูกจำคุกฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในความครอบครอง พ้นโทษแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำชู้กับจำเลยที่ 2 ที่บ้านนายผ่อง โจทก์ขอหย่า จำเลยที่ 1 ไม่ยอมหย่าแต่ตกลงแยกกันอยู่โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่บ้านเดิมของจำเลยที่ 1 คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่ตำบลเด่นชัยและพักที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง บ้านนางหวันบ้าง

ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาถือเอาบ้านนายผ่องที่ตำบลเด่นชัยเป็นถิ่นที่อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45ไม่ หากแต่ไปพักอยู่เป็นครั้งคราว เมื่อไปติดต่อซื้อไม้เท่านั้น บ้านของนายผ่องจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยอ้างว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นเมื่อฟังว่า จำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดแพร่ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ไม่ได้

การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลว่า จะได้ชี้ขาดปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษา จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้แต่ประการใด หากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใด ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่งการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลในคำพิพากษาแสดงว่า ศาลชั้นต้นมิได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ เพราะถ้าถือว่าการที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน เป็นการอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลโดยปริยายแล้ว ศาลชั้นต้นก็คงไม่ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาอีก

พิพากษายืน

Share