แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายรถยนต์ซึ่งระบุว่า กรรมสิทธิ์ของยานยนต์ที่ซื้อขายจะยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าผู้ซื้อจะได้ชำระราคาซื้อขายด้วเงินสดครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเสียก่อนนั้น เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข บังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 459 เมื่อคู่สัญญาตกลงซื้อขายกำหนดราคากันไว้เป็นจำนวนแน่นอนและโจทก์ผู้ขายให้จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อชำระราคาในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่งแล้วให้ผ่อนชำระราคาส่วนที่เหลือเป็นงวด และมีข้อตกลงว่าหากผู้ซื้อผิดนัดชำระราคางวดใด ยอมให้ผู้ขายเรียกให้ผู้ซื้อชำระราคาที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งหมดได้ทันทีดังนี้จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยที่ 1มิได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยผิดนัดชำระราคาตามงวดที่ได้ตกลงไว้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามข้อตกลง และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้จะปรากฏต่อมาว่าก่อนถึงกำหนดชำระราคางวดที่ 14 รถยนต์ที่ซื้อขายถูกคนร้ายลักไปโดยไม่ปรากฏว่าเป็นความผิดของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ก็ตามแต่ตามสัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดว่า หน้าที่ความรับผิดของผู้ซื้อย่อมไม่หมดสิ้นไปเนื่องจากการสูญหายของยานยนต์ จำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดชำระราคารถยนต์แก่โจทก์จนครบถ้วน เพราะข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการยกเว้นบทบัญญัติมาตรา 372 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาย่อมตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ ไม่เป็นโมฆะตามมาตรา 114(เดิม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์บรรทุก อีซูซุ ไปจากโจทก์1 คันในราคา 788,248 บาท ชำระราคาครั้งแรก 118,000 บาทที่เหลือผ่อนชำระ 36 งวด งวดละเดือน เดือนละ 18,618 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระได้ 9 งวดรวมกับที่ชำระครั้งแรกเป็นเงิน 285,562 บาท แล้วไม่ชำระอีกเลยจนกระทั้งรถถูกคนร้ายลักไป โจทก์ได้รับชดใช้จากบริษัทประกันภัยเป็นเงิน 400,000 บาท โดยโจทก์ชำระค่าเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 ไป 25,187 บาท เมื่อนำเงินประกันและเบี้ยประกันหักชำระราคาแล้วจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระราคา 127,873 บาทโจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามแล้วก็เพิกเฉย ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่รถหายจนถึงวันฟ้องเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย 139,061 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 139,061 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 127,873 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อรถยนต์จากโจทก์ในราคาเงินผ่อนโดยโจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มร้อยละ 14 ต่อปี จากราคาเงินสด 590,000 บาท รวมเป็นราคาเงินผ่อน 788,248 บาท เมื่อนำเงินประกัน 400,000 บาท และราคาที่จำเลยที่ 1 ชำระไปแล้วมาหักออกจากราคาเงินสด โจทก์จะได้รับเงินไปคุ้มกับราคารถแล้วหากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดก็ไม่เกินราคาค่าเบี้ยประกัน 25,187 บาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 23,238 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6ธันวาคม 2529 จนถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 รับกันและตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายเติม ปุสสเทวะ เป็นผู้ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2528โจทก์ได้ขายรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 1 คัน ให้จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 ตกลงผ่อนชำระในราคา 788,248 บาท เป็น 36 งวดงวดละเดือน เดือนละ 18,618 บาท ภายในวันที่ 16 ของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2528 จนถึงเดือนเมษายน 2531 ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 1 รับมอบรถยนต์ไปจากโจทก์แล้วและชำระเงินให้โจทก์ในวันทำสัญญาเป็นการชำระราคาบางส่วนจำนวน 118,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ผ่อนชำระราคาให้โจทก์รวม 9 งวด เป็นเงิน167,562 บาท แล้วไม่ผ่อนชำระอีกเลย ราคาค่ารถที่จำเลยที่ 1ชำระแล้ว 285,562 บาท ในระหว่างการซื้อขายโจทก์ได้นำรถยนต์ตามสัญญาไปเอาประกันวินาศภัยไว้เป็นเงิน 400,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.4 และได้ชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 ไปแล้ว25,187 บาท รถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์หายไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2529 และโจทก์ได้เงินประกันภัยจากผู้รับประกันภัยแล้วจำนวน 400,000 บาทคงเหลือราคาซึ่งจำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระให้โจทก์จำนวน 102,686 บาท และเงินค่าเบี้ยประกันซึ่งโจทก์จ่ายไปจำนวน 25,187 บาท ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์จึงมีเพียงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องร่วมกันรับผิดชำระราคารถยนต์และเบี้ยประกันจำนวนดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่าการซื้อขายรถยนต์ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 1 ซึ่งระบุว่า กรรมสิทธิ์ของยานยนต์ที่ซื้อขายจะยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าผู้ซื้อจะได้ชำระราคาซื้อขายด้วยเงินสดครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเสียก่อนนั้นเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขย่อมบังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 เมื่อคู่สัญญาตกลงซื้อขายกำหนดราคากันไว้เป็นจำนวนแน่นอนและผู้ขายให้ผู้ซื้อชำระราคาในวันทำสัญญาไว้จำนวนหนึ่งแล้วให้ผ่อนชำระราคาส่วนที่เหลือเป็นงวด และมีข้อตกลงว่าหากผู้ซื้อผิดนัดชำระราคางวดใดยอมให้ผู้ขายเรียกให้ผู้ซื้อชำระราคาที่เหลือพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งหมดได้ทันทีตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2ข้อ 3 การที่จำเลยที่ 1 ให้การและนำสืบต่อสู้ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของราคาซื้อเงินสดคือจากราคา590,000 บาทจำเลยที่ 1 ชำระแล้ว 285,562 บาท และโจทก์ได้รับเงินจากผู้รับประกันภัยไป 400,000 บาท เกินราคาเงินสดแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับชำระราคาจากจำเลยที่ 1 อีกนั้น จึงมิได้เป็นการต่อสู้หรือนำสืบปฏิเสธข้อตกลงในสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.2ย่อมไม่อาจทำให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากความรับผิดที่ต้องชำระราคาให้โจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาไปได้ จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยผิดนัดชำระราคาตามงวดที่ได้ตกลงกันไว้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามข้อตกลงและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้จะปรากฏต่อมาว่าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2529 ซึ่งเป็นเวลาก่อนถึงกำหนดชำระราคารถยนต์งวดที่ 14 รถยนต์ที่ซื้อขายถูกคนร้ายลักไปโดยไม่ปรากฏว่าเป็นความผิดของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2 ระบุไว้ชัดว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ซื้อย่อมไม่หมดสิ้นไปเนื่องจากการสูญหายของยานยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดชำระราคารถยนต์แก่โจทก์จนครบถ้วน เพราะข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการยกเว้นบทบัญญัติมาตรา 372 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาย่อมตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ ไม่เป็นโมฆะตามมาตรา 114 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในทำนองว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ14 ต่อปี ของราคาซื้อเงินสดโดยคิดจากราคาที่เหลือจากการที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระไปในวันทำสัญญาแล้วให้จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระซึ่งเมื่อหักจำนวนเงินประกันภัยที่โจทก์ได้รับมาออกแล้ว โจทก์ยังมีกำไรเหลือและไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ค้างอีกนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากการที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ เพราะคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันในราคาผ่อนส่ง มิใช่ราคาเงินสด เมื่อกำหนดราคากันไว้เท่าใดย่อมผูกพันกันตามนั้น เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคาจนครบถ้วนตามสัญญา จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดไม่มีทางที่จะแปลสัญญาเป็นอย่างอื่นไปได้ สำหรับเบี้ยประกันที่โจทก์ได้ชำระแทนไปจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระให้โจทก์เต็มจำนวนแต่ในส่วนอัตราดอกเบี้ยของเงินค่าเบี้ยประกันภัยมิได้กำหนดกันไว้ในสัญญาเหมือนเช่นเงินราคาค่ารถโจทก์จึงเรียกได้เพียงในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 เท่านั้น ทั้งเงินราคาค่ารถและเงินค่าเบี้ยประกันภัยโจทก์คิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดนัดซึ่งตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2529 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 102,686 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว และชำระเงินจำนวน 25,187 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์