แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบิกความในคดีก่อนทำให้ฟังว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำผิดฐานฆ่า พ. ซึ่งเป็นความเท็จ การที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงมีการแทง พ. ถึงแก่ความตายจริงส่วนผู้ที่แทง พ. นั้น เนื่องจากเกิดเหตุเวลากลางคืน และมีเหตุชุลมุน จำเลยเห็นเหตุการณ์ไม่ถนัด ทำให้จำเลยเบิกความไปตามที่ตนเข้าใจว่า ด. เป็นคนแทงซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์เพราะจำเลยไม่ได้เบิกความว่าโจทก์ร่วมกับพวกฆ่า พ. ไม่ทำให้โจทก์ได้รับผลจากคำเบิกความของจำเลยแต่ประการใดนั้น เท่ากับจำเลยประสงค์ให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่า คำเบิกความของจำเลยไม่เป็นความเท็จอันเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง และพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องเรียงกระทงลงโทษฐานฟ้องเท็จ จำคุก1 ปี ฐานเบิกความเท็จจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 จำคุก 2 ปียกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 4จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยที่ 4ได้เบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 103/2525 ของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 4 เห็นนายแห้วชักมีดปลายแหลมออกมาเงื้อทำท่าคล้ายจะแทงโจทก์ แล้วเห็นโจทก์หลบเข้าไปกอดด้านหลังนายพิชัย โดยรัดแขนนายพิชัยแนบตัวไว้ให้นายแดงใช้มีดแทงนายพิชัยที่อกด้านขวา 1 ที คำเบิกความของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวทำให้ฟังว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำผิดฐานฆ่านายพิชัย ซึ่งเป็นความเท็จ การที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงมีการแทงนายพิชัยถึงแก่ความตายจริงส่วนผู้ที่แทงนายพิชัยนั้น เนื่องจากเกิดเหตุเวลากลางคืนและมีเหตุชุลมุน จำเลยที่ 4 เห็นเหตุการณ์ไม่ถนัด ทำให้จำเลยที่ 4เบิกความไปตามที่ตนเข้าใจว่า นายแดงเป็นคนแทงซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์ เพราะจำเลยไม่ได้เบิกความว่าโจทก์ร่วมกับพวกฆ่านายพิชัยไม่ทำให้โจทก์ได้รับผลจากคำเบิกความของจำเลยที่ 4 แต่ประการใดนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 4 ดังกล่าว เท่ากับประสงค์จะให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความเท็จอันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 4 มาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 4