คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในการปิดบัญชีเงินสดของแต่ละวัน โจทก์ตรวจแต่บัญชีเงินสดมิได้ตรวจตราไปรษณียากรคงเหลือ ทะเบียนคุมเงินตราไปรษณียากรสมุดแรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตรตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ส. พนักงานเงินทุจริตไปรษณียากรและเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์รายเดือนนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างโดยตรงฐานผิดสัญญาจ้างและฐานกระทำละเมิดต่อจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวแก่จำเลยได้โดยสิ้นเชิงในฐานลูกหนี้ร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเกษียณอายุ ถือเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จค่าชดเชย และเงินโบนัสแก่โจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย แล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวเช่นนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเกิดขึ้น เนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายฟ้องแย้งของจำเลยจึงถือได้ว่าเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแล้ว
จำเลยได้บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างไร ฉบับที่ เท่าใด นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและเบิกความในชั้นพิจารณาว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงมีข้อต่อสู้ ดังนั้น จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริตนำเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้แก่จำเลยด้วย แม้ในฟ้องแย้งจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้เพียง 36,130.15 บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้จึงต้องถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดอยู่เช่นเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องรวาม 375,257.14 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษาจึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้องชำระเงินให้จำเลยอีก 21,833.36บาท พร้อมดอกเบี้ย.(ที่มา-ส่งเสริม)

Share