คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นไต่สวนอนาถา โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานและบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1ไว้ แม้บัญชีระบุพยานดังกล่าวโจทก์จะได้พิมพ์ข้อความต่อท้ายบัญชีพยานว่า “ไต่สวนอนาถา” แต่ในชั้นพิจารณาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นอีก แสดงว่าโจทก์ยังประสงค์จะถือเอาบัญชีระบุพยานทั้งสองฉบับที่ยื่นไว้ในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ในชั้นพิจารณาด้วย ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 แล้ว โจทก์ชอบที่นำพยานตามบัญชีระบุพยานดังกล่าวมาสืบได้
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานโจทก์ ในวันนี้โจทก์ไม่มีพยานมาศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ โจทก์ก็ยื่นคำแถลงโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวด้วย ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานอันเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๒ด้วยความประมาท ชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายปรีชา พงษ์ไพโรจน์ ขับมา เป็นเหตุให้นายปรีชาถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน๖๐๘,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เหตุเกิดมิใช่ความประมาทของจำเลยที่ ๑ หากแต่เกิดจากความประมาทของนายปรีชา พงษ์ไพโรจน์ สามีโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นสืบพยานโจทก์เป็นต้นไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า บัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ ๖มกราคม ๒๕๓๑ และบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่า ไต่สวนอนาถา แสดงว่าบัญชีระบุพยานดังกล่าวใช้เฉพาะชั้นไต่สวนอนาถาเท่านั้น จะนำไปใช้ในชั้นพิจารณาด้วยไม่ได้ เมื่อโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นพิจารณาก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ในชั้นไต่สวนอนาถาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๓๑ และได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ไว้ แม้บัญชีระบุพยานดังกล่าวโจทก์จะได้พิมพ์ข้อความต่อท้ายบัญชีพยานว่า “ไต่สวนอนาถา” แต่ในชั้นพิจารณา ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ ๒ อีก ๑๐ อันดับ ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ต่อศาลชั้นต้น ซึ่งแสดงว่าโจทก์ยังประสงค์จะถือเอาบัญชีระบุพยานทั้งสองฉบับที่ยื่นไว้ในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ในชั้นพิจารณาด้วย หาใช่ใช้เฉพาะชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไว้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ แล้ว โจทก์ชอบที่จะนำพยานตามบัญชีระบุพยานดังกล่าวมาสืบได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์มิได้ยื่นบัญชีพยานก่อนวันสืบพยานโจทก์จึงไม่ถูกต้อง ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องบัญชีระบุพยานมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ เพราะในคำแถลงคัดค้านของโจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวด้วยเรื่องบัญชีระบุพยานไว้ เห็นว่าหลังจากศาลชั้นต้นสั่งว่า “โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานโจทก์ ในวันนี้โจทก์ไม่มีพยานมาศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ” โจทก์ก็ได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต่อมาก็ได้อุทธรณ์ในเรื่องคำสั่งดังกล่าวด้วย ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานอันเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวขึ้นเพื่อวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share